วันอังคาร, กันยายน 28, 2553

Nina Simone Diva ตอนที่ 3 ต่อ



นีนา ซิโมน เป็นชื่อที่ ยูนิส แคทลีน เวย์มอน (Eunice Kathleen Waymon) ตั้งให้ตัวเองสมัยที่เธอทำงานเป็นนักร้องในบาร์ เพื่อปกปิดไม่ให้แม่ผู้เคร่งศาสนาของเธอล่วงรู้ถึงงานที่เธอทำ ความฝันของเด็กหญิงยูนิสคือการเป็นนักเปียโนคลาสสิก (ซึ่ง นีนา ซิโมน ยังคงยืนยันจนถึงบั้นปลายชีวิตว่าเธอเป็นนักเปียโนคลาสสิก และเรียกดนตรีที่เธอเล่นโดยรวมๆ ว่า ดนตรีคลาสสิกของคนผิวดำแทนชื่อแนวดนตรีอย่างแจ๊ซหรือโซล ด้วยเหตุผลที่ว่า มัน [แจ๊ซ] เป็นแค่คำที่ [คนผิวขาว] ใช้ระบุเรียกคนผิวดำ”)

ความสามารถในการเล่นเปียโนของเธอโดดเด่นตั้งแต่ที่เธอได้แสดงคอนเสิร์ตบนเวทีครั้งแรกในโบสถ์ขณะมีอายุเพียง ๑๐ ขวบ แม้แต่ความมุ่งมั่นในการเรียกร้องความเท่าเทียมให้แก่คนผิวดำของเธอก็ปรากฏชัดขึ้นพร้อมๆ กัน ในคอนเสิร์ตครั้งนั้น เมื่อผู้ปกครองของเธอถูกไล่จากที่นั่งแถวหน้าให้ถอยไปอยู่ข้างหลังเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนผิวขาวได้นั่งแทน เด็กหญิงยูนิสปฏิเสธที่จะเล่นเปียโนจนกว่าพ่อกับแม่ของเธอจะได้กลับมานั่งที่เดิม

ชีวิตช่วงแรกของ นีนา ซิโมน ไม่ลำบากลำบนเท่านักร้องหรือนักดนตรีผิวดำชื่อดังจำนวนมาก เธอได้รับการศึกษาที่ดีแม้ว่าพ่อแม่ของเธอไม่ได้ร่ำรวย และความสามารถทางดนตรีของเธอก็ทำให้เจ้านายของแม่เอ็นดูและสนับสนุนค่าเรียนเปียโนอย่างต่อเนื่อง เมื่ออายุได้ประมาณ ๑๗ ปี นีนา ซิโมน มีโอกาสเข้าศึกษาเปียโนแนวคลาสสิกที่โรงเรียนดนตรีจูลลิอาร์ด (The Juilliard School of Music) โรงเรียนชื่อดังของนครนิวยอร์ก เป็นพื้นฐานที่ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในนักร้องหญิงผิวสีกลุ่มนักร้องเพลงแจ๊ซระดับตำนานของอเมริกาไม่กี่คน ที่มีความรู้และมีทักษะทางดนตรีตามระบบการศึกษาอย่างแท้จริง

ในเมื่อความฝันของเธอคือการได้เป็นนักเปียโนคลาสสิก เมื่อเรียนจบจากจูลลิอาร์ด นีนา ซิโมน จึงพยายามสมัครเข้าเรียนเปียโนขั้นสูงที่สถาบันดนตรีเคอร์ติส (The Curtis Institute of Music) และเมื่อถูกปฏิเสธ เธอคิดว่าสาเหตุไม่ใช่ปัจจัยใดอื่นนอกจากสีผิวของเธอ ความผิดหวังในครั้งนั้น ประกอบกับสถานการณ์สงครามสีผิวในอเมริกาที่ยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ อาจมีส่วนผลักดันให้ นีนา ซิโมน ให้ความสำคัญกับการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพอย่างขึงขังจริงจัง นอกจากนั้นเธอยังได้แรงบันดาลใจจากบรรดาเพื่อนปัญญาชนคนผิวสี เช่นสองนักเขียนใหญ่ แลงส์ตัน ฮิวส์ และ เจมส์ บอลด์วิน ให้ รู้สึกกับปัญหาของคนผิวดำอย่างลึกซึ้งกว่าเดิม
ถึงแม้ปัญหาการเหยียดสีผิวในอเมริกาจะคลี่คลายลงในที่สุด แต่ นีนา ซิโมน ดูเหมือนจะไม่เคยรู้สึกว่าพฤติกรรมของคนอเมริกันเปลี่ยนแปลงไปมากนัก และแม้เธอจะแต่งเพลง “Mississippi Goddam” ขึ้นตั้งแต่ในเวลาตอนต้นของการเป็นนางพญา นีนา ซิโมนที่ค่อนข้างยาวนาน (เธอเสียชีวิตในปี ๒๐๐๓ เมื่อมีอายุ ๗๐ ปี) แต่เนื้อหาของมันดูเหมือนจะเป็นบทสาบานที่ นีนา ซิโมน ให้ไว้แก่ตัวเองและกับสังคมของมนุษย์ที่เธอเรียกว่า ยังไม่พัฒนาสังคมที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง การหลอกลวง และความโง่เขลา รายละเอียดในเพลงนั้นจึงยังเป็นจริงเสมอในความคิดของเธอ และเมื่อไรที่มีคนถามถึงอเมริกา เธอเป็นต้องด่าทอประเทศบ้านเกิดของตัวเองด้วยความอัดอั้นเคียดแค้นเช่นเคยเสมอ

Oh but this whole country is full of lies
You’re all gonna die and die like flies
I don’t trust you any more
You keep on saying “Go slow!”

ความเบื่อหน่ายอึดอัดต่อสังคมอเมริกัน ความเกลียดชังอุตสาหกรรมบันเทิง และความต้องการใช้ชีวิตอิสระอย่างเต็มที่ (และอาจรวมถึงเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง) ทำให้ นีนา ซิโมน ย้ายถิ่นฐานออกจากอเมริกาอย่างถาวรในปี ๑๙๗๐ และหลังจากได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ หลายแห่ง (เมื่อไปถึงแอฟริกา เธอบอกว่าเธอได้ กลิ่นของความเป็นบ้าน ทำให้เธอมีความสุขกายสบายใจถึงขั้นต้องถอดรองเท้าเดิน และเต้นระบำโดยไม่สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียวอยู่หลายชั่วโมง) มีความสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน ในที่สุดเธอก็ไปหยุดอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนถึงวันสุดท้าย

แต่ก่อนจะเดินทางไกลจากบ้านโดยไม่อยากหวนกลับ (นอกจากจะกลับไปร้องเพลงและออกอัลบั้มเป็นครั้งคราว) นีนา ซิโมน ประพันธ์บทเพลงสำคัญให้แก่พลเมืองผิวสีในอเมริกาอีก ๑ เพลง ด้วยจังหวะจะโคนและน้ำเสียงที่แตกต่างจาก “Mississippi Goddam” พอสมควร หาก “Mississippi Goddam” เป็นเพลงประท้วงล้วงขอความยุติธรรมจากหัวใจอำมหิตของปีศาจผิวขาว เพลงใหม่ของเธอที่ชื่อ “To Be Young, Gifted and Black” (แต่งด้วยแรงบันดาลใจจากบทละครที่ ลอร์เรน ฮานส์เบอร์รี เพื่อนของเธอเขียนค้างไว้ก่อนตาย โดยมี เวลดอน เออร์ไวน์ เป็นคนเขียนเนื้อร้อง) อาจเรียกได้ว่าเป็นเพลง ปลุกใจหรือ ปลอบขวัญอย่างนุ่มนวลให้สังคมคนผิวสีของเธอไว้ขับกล่อมกันเองในระหว่างที่เธอไม่อยู่

When you feel really low
Yeah, there’s a great truth you should know
When you’re young, gifted and black
Your soul’s intact

สำเนียงของ นีนา ซิโมน ในเพลง “To Be Young, Gifted and Black” คือตัวอย่างของเพลงที่ทำให้ผู้คนในวงการดนตรีขนานนามเธอว่าภิกษุณีใหญ่แห่งดนตรีโซล” (High Priestess of Soul) แต่ นีนา ซิโมน ไม่เคยชอบฉายาใดที่สังคมตั้งให้เธอ และยังคงรักษาบทบาทของความเป็นขบถ เป็น คนนอกของตัวเธอไว้อย่างเข้มแข็งโดยตลอด

ในช่วงท้ายของชีวิต นีนา ซิโมน ยังคงแสดงออกถึงความผิดหวังต่ออเมริกา ต่ออุตสาหกรรมดนตรี แม้กระทั่งต่อสังคมคนผิวดำที่เธอเคยเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้ ด้วยการขับครวญความรู้สึกจากเบื้องลึกออกมาเป็นบทเพลงระดับอมตะหลายต่อหลายเพลง

แม้ว่า “To Be Young, Gifted and Black” จะได้รับการเลือกให้เป็นเพลงชาติสำหรับคนอเมริกันผิวดำอย่างเป็นทางการ นีนา ซิโมน ยังคงคิดว่าการต่อสู้ในยุคหกศูนย์ของเธอและเพื่อนพ้อง (ที่เสียชีวิตไปหมดแล้ว) ล้วนไม่ประสบผลสำเร็จ และสังคมคนผิวดำในอเมริกาก็ไม่ได้เดินไปในทิศทางที่ดีขึ้น อาจเรียกได้ว่าเธอไม่ได้ผิดหวังเฉพาะกับคนผิวขาวหรือคนผิวดำเท่านั้น ทว่าเธอผิดหวังกับมนุษยชาติโดยรวม และยินดีที่จะเก็บตัวอยู่ห่างๆ

อย่างไรก็ตาม นีนา ซิโมน เป็นนักร้องหญิงผู้มีชีวิตโลดโผนที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ และไม่ว่าเธอจะยินดีด้วยหรือไม่ ชื่อของเธอก็กลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศบ้านเกิดที่เธอรังเกียจ นั่นคือสัญลักษณ์ของนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ สัญลักษณ์ของศิลปินผู้ทุ่มเทอารมณ์และวิญญาณให้แก่งานอย่างแท้จริง สัญลักษณ์ของปัจเจกชนผู้ไม่ประนีประนอมต่อสิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อ และสัญลักษณ์ของหญิงผู้มีไหวพริบแพรวพราว มีความภาคภูมิใจในเพศและสีผิวของตัวเอง และมีความ ทัดเทียมกับมนุษย์ทุกคนบนผิวโลก โดยไม่ต้องให้ใครเรียกร้องหรือปกป้องสิทธิเสรีภาพให้ หากแต่มีความทัดเทียมและเป็นอิสระด้วยการตัดสินใจของเธอเอง

แม้จะมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับคนทั่วไป (เธอเป็นคนอารมณ์ร้าย และมีอาการทางจิตที่ถูกปกปิดต่อสาธารณชนในขณะยังมีชีวิต) แต่น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและการถ่ายทอดบทเพลงด้วยความซื่อสัตย์ต่อตัวเองคือคุณสมบัติที่ทำให้อารมณ์ร้าวลึกในฐานะของพลเมืองชั้นต่ำผู้ถูกกดขี่กักกั้น ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของทุกเพลงที่เธอขับร้อง

ในปี ๑๙๗๑ ขณะที่ นีนา ซิโมน กำลังบันทึกเสียงเพลง “My Father” (แต่งโดย จูดี คอลลินส์) อยู่ๆ เธอก็หยุดร้องกะทันหัน หลังจากเพิ่งเปล่งน้ำเสียงเอกลักษณ์ของเธอออกไปว่า “My father always promised me that we would live in France. We’d go boating on the Seine, and I would learn to dance. We lived in Ohio then, he worked in the mines...,” ห้องอัดเงียบกริบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะได้ยินนีนาพูดเบาๆ

ฉันร้องเพลงนี้ไม่ได้...มันไม่ใช่ตัวฉัน
พ่อของฉันสัญญาเสมอว่าพวกเราจะได้รับเสรีภาพ แต่เขาไม่เคยสัญญากับฉันว่าพวกเราจะได้ไปอยู่ที่ฝรั่งเศส
แล้วเธอก็ระเบิดหัวเราะดังกึกก้องนานหลายวินาทีให้แกานิสัยซื่อตรงแต่ดื้อดึงของตัวเอง ด้วยพลังเสียงไม่ด้อยไปกว่าเวลาที่เธอตะเบ็งร้องเพลงประกาศความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากค่ะ ฟังเพลงของดธอแล้วชอบมากๆๆๆ

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยม

รายการบล็อกของฉัน