หากจะติดตามการเคลื่อนไหวทางดนตรีของ B.B. King อย่างต่อเนื่องแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าดนตรีบลูส์ของผู้เฒ่าคนนี้มีการผสมผสานกับดนตรีในแนวอื่นๆอยู่หลายช่วงทีเดียว อันนำมาซึ่งผลกระทบทางด้านลบอยู่หลายครั้ง ผู้เฒ่า B.B. มักเรียกช่วงเวลาเหล่านั้นว่า “เป็นการทำสงคราม” แบบหนึ่ง เขาใช้เวลาหลายปีต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับในดนตรีบลูส์ซึ่งอาจนำไปผสมผสานกับแนวดนตรีชนิดอื่นได้ แต่สิ่งที่ได้รับออกมาในเชิงการดูหมิ่นไม่ว่าจะจากนักดนตรีด้วยกันหรือสื่อมวลชนทั่วไป คนเหล่านั้นเพียงแค่ยอมรับ B.B. King ในวิถีทางแห่งดนตรีบลูส์แท้ๆเท่านั้น
ถ้าจะมองกันให้ลึกไปถึงสิ่งที่ผลักดันอยู่เบื้องหลังดนตรีของเขาก็คงไม่พ้นความกระหายที่จะพิสูจน์ตัวเองเป็นเบื้องต้น สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความหนุ่มแน่นของ B.B. ในยุคแรกเริ่มก็คือการทำลายขีดคั่นทางดนตรีในโลกของการกีดกันทางสีผิวให้จงได้ จึงทำให้เด็กหนุ่มจากมิสซิสซิปปี้ผู้ไม่เคยเหยียบย่างเข้าโรงเรียนแม้แต่ก้าวเดียวอย่าง B.B. ทำในสิ่งที่เกินกว่าใครๆจะคาดหวังได้ ผลก็คือดนตรีบลูส์ในรสชาติใหม่ที่ไม่ใช่เพียงแค่รับอิทธิพลมาจากบลูส์แมนชั้นยอดอย่าง Blind Lemon Jefferson, T-Bone Walker และ Lonnie Johnson เท่านั้น แต่ยังมีส่วนผสมของดนตรีแจ๊สจากระดับปรมาจารย์อย่าง Charlie Christian, Django Reinhardt และ Count Basie รวมถึงนักร้องแนวพ๊อพบัลลาดอย่าง Frank Sinatra และ Tony Bennett อีกด้วย ซึ่งนั่นก็คืออาหารจานใหญ่ที่ B.B. King บรรจงปรุงแต่งให้กับคนฟังที่มีความเชื่อมั่นในตัวเขามาตลอด แน่นอนว่า B.B. ย่อมมีเหตุผลในการสร้างงานแบบที่เป็นอยู่ “ผมสนุกกับการได้ฟังเพลง” B.B. กล่าว “และผมชอบทำเดโมเทปเป็นการส่วนตัวเก็บเอาไว้เสมอ ยกตัวอย่างเช่นเรามีศิลปินสิบคนกับผลงานที่แตกต่างกันสิบชุด ผมจะหาแต่ละแทรคในแต่ละอัลบั้มที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวออกมา แล้วฟังมันไปเรื่อยๆ จากนั้นผมจะเล่นมันและบันทึกเสียงด้วยตัวเองแล้วเก็บเอาไว้ ผมไม่ค่อยจะได้ฟังเพลงเพื่อหย่อนใจเท่าไหร่หรอก แต่ผมจะฟังเพื่อข่าวสารที่มีอยู่ในนั้นแล้วก็เรียนรู้มันไปด้วย ผมได้ยินสิ่งที่ผมชอบจากเพลงมากมายของศิลปินที่ผมเรียนรู้งานของเขา แล้วก็มีหลายเพลงที่คุณพยายามจะทำมันบ้าง แต่เมื่อถึงตอนนั้นมันจะกลายเป็นว่าคุณพยายามที่จะทำให้ได้เสียงออกมาแบบศิลปินคนนั้น ซึ่งผมจะทำไปอีกทางหนึ่ง ผมมักจะหยิบเอาเฉพาะบางสิ่งที่ผมคิดว่าจะเอามาทำให้เป็นเสียงในแบบของผมออกมาใช้แล้วทำให้คนอื่นจดจำมันได้ จุดนี้กระมังที่หลายคนมักจะต่อว่าต่อขานผมเสมอว่าวิถีทางของผมมันไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ช่างเถอะ...ผมมันเป็นเพียงชายแก่ที่เล่นดนตรีเป็นอาชีพเท่านั้น ผมไม่ได้กำลังพยายามทำตัวเพื่อให้ได้รับปริญญาระดับด๊อกเตอร์สักหน่อย”
ถ้าจะมองกันให้ลึกไปถึงสิ่งที่ผลักดันอยู่เบื้องหลังดนตรีของเขาก็คงไม่พ้นความกระหายที่จะพิสูจน์ตัวเองเป็นเบื้องต้น สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความหนุ่มแน่นของ B.B. ในยุคแรกเริ่มก็คือการทำลายขีดคั่นทางดนตรีในโลกของการกีดกันทางสีผิวให้จงได้ จึงทำให้เด็กหนุ่มจากมิสซิสซิปปี้ผู้ไม่เคยเหยียบย่างเข้าโรงเรียนแม้แต่ก้าวเดียวอย่าง B.B. ทำในสิ่งที่เกินกว่าใครๆจะคาดหวังได้ ผลก็คือดนตรีบลูส์ในรสชาติใหม่ที่ไม่ใช่เพียงแค่รับอิทธิพลมาจากบลูส์แมนชั้นยอดอย่าง Blind Lemon Jefferson, T-Bone Walker และ Lonnie Johnson เท่านั้น แต่ยังมีส่วนผสมของดนตรีแจ๊สจากระดับปรมาจารย์อย่าง Charlie Christian, Django Reinhardt และ Count Basie รวมถึงนักร้องแนวพ๊อพบัลลาดอย่าง Frank Sinatra และ Tony Bennett อีกด้วย ซึ่งนั่นก็คืออาหารจานใหญ่ที่ B.B. King บรรจงปรุงแต่งให้กับคนฟังที่มีความเชื่อมั่นในตัวเขามาตลอด แน่นอนว่า B.B. ย่อมมีเหตุผลในการสร้างงานแบบที่เป็นอยู่ “ผมสนุกกับการได้ฟังเพลง” B.B. กล่าว “และผมชอบทำเดโมเทปเป็นการส่วนตัวเก็บเอาไว้เสมอ ยกตัวอย่างเช่นเรามีศิลปินสิบคนกับผลงานที่แตกต่างกันสิบชุด ผมจะหาแต่ละแทรคในแต่ละอัลบั้มที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวออกมา แล้วฟังมันไปเรื่อยๆ จากนั้นผมจะเล่นมันและบันทึกเสียงด้วยตัวเองแล้วเก็บเอาไว้ ผมไม่ค่อยจะได้ฟังเพลงเพื่อหย่อนใจเท่าไหร่หรอก แต่ผมจะฟังเพื่อข่าวสารที่มีอยู่ในนั้นแล้วก็เรียนรู้มันไปด้วย ผมได้ยินสิ่งที่ผมชอบจากเพลงมากมายของศิลปินที่ผมเรียนรู้งานของเขา แล้วก็มีหลายเพลงที่คุณพยายามจะทำมันบ้าง แต่เมื่อถึงตอนนั้นมันจะกลายเป็นว่าคุณพยายามที่จะทำให้ได้เสียงออกมาแบบศิลปินคนนั้น ซึ่งผมจะทำไปอีกทางหนึ่ง ผมมักจะหยิบเอาเฉพาะบางสิ่งที่ผมคิดว่าจะเอามาทำให้เป็นเสียงในแบบของผมออกมาใช้แล้วทำให้คนอื่นจดจำมันได้ จุดนี้กระมังที่หลายคนมักจะต่อว่าต่อขานผมเสมอว่าวิถีทางของผมมันไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ช่างเถอะ...ผมมันเป็นเพียงชายแก่ที่เล่นดนตรีเป็นอาชีพเท่านั้น ผมไม่ได้กำลังพยายามทำตัวเพื่อให้ได้รับปริญญาระดับด๊อกเตอร์สักหน่อย”
แรงผลักดันอีกอย่างหนึ่งของ B.B. ก็คือปรัชญาการดำเนินชีวิตและการทำงานของเขานั่นเอง “ก็เหมือนอย่างที่ผมบอกไปแล้วในตอนต้นนั่นแหละ ชีวิตผมผูกพันกับการเดินทางมาตลอด ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่เดินทางไปเปิดการแสดงเท่านั้น แต่มันหมายถึงการทำงานดนตรีของผมด้วย ผมมองไปที่โคคา-โคล่า ผมมองไปที่โรลส์รอยซ์, เมอร์ซีเดส-เบนซ์ และฟอร์ด พวกเค้าผลิตรถยนต์ชั้นเยี่ยมออกมาปีแล้วปีเล่าแต่พวกเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงมัน พวกเค้ายังคงคุณลักษณะของมันเอาไว้ แล้วพัฒนามันขึ้นไปเรื่อยๆ มันน่าสนุกนะ คุณมองเห็นรถยนต์รุ่นแล้วรุ่นเล่าถูกแทนที่ด้วยรุ่นใหม่ๆ แต่โคคา-โคล่ายังคงอยู่ โรลส์รอยซ์ยังคงอยู่ ฟอร์ดก็เหมือนกัน พวกเค้าเพียงใช้คุณลักษณะที่โดดเด่นของมันเป็นจุดสำคัญในการพัฒนาเท่านั้น อืม...ผมเห็นอะไรๆ อีกเยอะที่จะนำมาใช้ร่วมกับสิ่งที่ผมทำอยู่ได้ เรื่องของเรื่องก็คือว่าผมไม่เคยพอใจกับสิ่งที่ผมทำสักที (หัวเราะ) ผมยังคงต้องปล่อยให้นิ้วมือของผมเดินทางต่อไป แล้วก็หวังว่าสักวันหนึ่งผมคงจะพบกับสิ่งที่เป็นสุดยอดสำหรับตัวเอง ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องการเลิกราจากวงการไปจนกว่าจะไม่มีใครต้องการผมนั่นแหละ เมื่อนั้นเราค่อยมาว่ากันใหม่”
ตราบใดที่มหาบุรุษแห่งดนตรีบลูส์ยังคงตั้งใจที่จะเดินทางต่อไปบนถนนดนตรีสายนี้ ตราบนั้นเสียงจาก “Lucille” ภายใต้การควบคุมของผู้เฒ่า B.B. King ก็จะยังโลดแล่นกรีดกรายสายสำเนียงแห่งบลูส์สู่ผู้ที่หลงใหลในมนต์ขลังของมันไปอีกนานเท่านาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น