พออายุได้ 23 ปี ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ เขาผละจากบ้านเกิดไปเผชิญโชคที่ Memphis, Tennessee เพียงไม่กี่วันที่เดินทางไปถึง เขาก็ถูกเชื้อเชิญให้ไปออกรายการวิทยุท้องถิ่นซึ่งเป็นรายการของ Sonny Boy Williamson ซึ่งเป็นนักดนตรีบลูส์รุ่นพี่ และในที่สุดก็ได้ถูกทาบทามให้เข้าร่วมในโชว์เป็นการถาวร ในระหว่างช่วงปีแรกๆ ที่อยู่ใน Memphis นั้น ก็เป็นช่วงเดียวกับที่เด็กหนุ่มผิวขาวคนหนึ่งกำลังได้รับความสนใจจากวงการเพลงเป็นอย่างยิ่ง เขาผู้นั้นก็คือ Elvis Presley
แล้วขณะนั้นตามคลับต่างๆใน Memphis พากันคลั่งไคล้ Elvis ด้วยรึเปล่า? ผู้เฒ่า B.B. ให้ความกระจ่างสำหรับข้อข้องใจนี้ว่า “ผมเคยเจอเค้าแถบ Beale Street มีสถานที่แห่งหนึ่งที่คนอย่างพวกเรามักไปพบหน้ากันโดยบังเอิญเป็นประจำ มันคือโรงรับจำนำซึ่งเป็นที่พึ่งยามยาก และเค้าก็ไปที่นั่นเหมือนกัน ผมไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าของร้านมีชื่อจริงว่าอะไร พวกเราทุกคนมักเรียกเค้าว่า “มิสเตอร์ เรด” เวลาขัดสนเงินทองเราโทรไปหาคุณเรดเพื่อเจรจากันก่อนที่จะไปพบเค้า บ่อยครั้งเมื่อเราไปถีงที่นั่นแล้วพบว่า Elvis ก็ไปที่นั่นเช่นกัน แต่แห่งแรกที่ผมพบเค้าอย่างเป็นทางการจริงๆ ก็คือที่สตูดิโอของ Sam Phillips เค้าจะซ้อมเพลงอยู่ที่นั่น ชอบมายืนดูพวกเราซ้อมแล้วก็กลับไปซ้อมเพลงของเค้าต่อ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่ Elvis จะบันทึกเสียงเพลงแรกๆของเค้าซะอีก”
B.B. บันทึกเสียงงานชิ้นแรกในปี 1949 และมีงานฮิตชิ้นแรกในปี 1951 และออกตระเวนบนถนนดนตรีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บ่อยครั้งที่ต้องออกแสดงมากกว่า 300 โชว์ ในปี 1968 เพลง “The thrill is gone” นำ B.B. King เข้าสู่ป๊อปชาร์ทฮิตและรายการ The Ed Sullivan Show เส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์ของ B.B. King จึงเริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้น เขากลายเป็นนักดนตรีบลูส์คนแรกที่ได้แสดงในสถานที่ระดับแนวหน้าของ Las Vegas
“ผมจำได้ครั้งหนึ่งผมเคยไปเปิดคอนเสิร์ตที่รัฐทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะมีโอกาสไปเล่นแถบนั้น สื่อมวลชนและคนดูที่นั่นเยี่ยมมากสำหรับผม แต่สถานที่ๆเราเข้าไปเปิดการแสดงนั้นเป็นฮอลล์คอนเสิร์ตของวงดนตรีประเภทซิมโฟนี่ ทุกอย่างดูสวยงามไปหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟหรือระบบเสียง เราขายตั๋วได้หมดเกลี้ยงและพวกเค้าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วงของเราเล่นได้ดีมาก แต่มีข้อกังขาอยู่ข้อหนึ่ง มีคนบอกกับผมว่า ‘ถามจริงๆเถอะ นี่คือคอนเสิร์ตของ B.B. King แน่นะ ทำไมพื้นฟลอร์ไม่เห็นสกปรกเลย?’ ผมหัวเราะเสียงลั่นแต่ไม่มีวี่แววของความร่าเริงอยู่แม้แต่น้อย ในความหมายหนึ่งนั้น พวกเขากำลังบอกผมว่า บลูส์ที่ถูกต้องไม่อาจจะเล่นในสถานที่ที่ดูสะอาดสะอ้านอย่างในซิมโฟนี่ฮอลล์นี้ได้ และในอีกหลากหลายความหมายนั้นเขากำลังบอกว่าเป็นเพราะผมไม่สูบบุหรี่และเขาก็ไม่เห็นผมดื่มเหล้าด้วย ยิ่งไปกว่านั้นผมยังยืนเล่นตลอดทั้งโชว์อีกด้วย” B.B. กล่าวต่อ “เอ่อ...ใช่ ผมเชื่อว่าผมทำอย่างนั้น มีอีกหลายอย่างที่ผมไม่ได้ทำตามรูปแบบที่นักร้องบลูส์ส่วนใหญ่จะทำกัน คนส่วนใหญ่ในอเมริกาและคนทั่วโลกด้วย พวกเขาจะกำหนดรูปแบบของนักร้องบลูส์ออกมาตามความคิดของตัวเองคล้ายๆกัน คือนักร้องบลูส์จะต้องนั่งจมอยุ่ในเก้าอี้หันหน้าไปทางทิศเหนือ ใส่หมวกแก๊ปที่หันกระบังแดดไปทางทิศตะวันออก คาบบุหรี่เอาไว้ที่มุมปากทางด้านทิศตะวันตก สะพายกีต้าร์เอาไว้ตรงพุงขนาดมหึมาเหมือนผม และข้างๆ ตัวมีเหล้าพร้อมที่จะหยิบดื่มได้ทันที พวกบลูส์จะต้องเป็นอย่างนั้น! ผมไม่อยากเชื่อจริงๆแต่นั่นคือสิ่งที่ผมพบมา การพยายามรักษาสไตล์ของนักร้องบลูส์แต่ละคนแทบไม่มีใครให้ความสนใจกันเลย บ่อยครั้งที่มันทำให้ผมรู้สึกเบื่อ และไอ้ความเบื่อพวกนั้นเริ่มกลายเป็นความเจ็บปวดสำหรับผมอย่างช้าๆ ผมซีเรียสในเรื่องนี้ ผมชื่นชมผู้จัดการของผมก็เพราะว่าเขาเป็นคนหนึ่งในจำนวนคนเพียงน้อยนิดที่มองเห็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับดนตรีในแบบของผม และมองเห็นกลุ่มคนที่ต้องการจะฟังมันจริงๆ กลุ่มคนที่ยินดีและมีความสุขที่ได้ยินมัน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น