นีนา ซีโมน ; หยาดน้ำตาเคล้าเสียงดนตรี
ริชาร์ด ดอว์กินส์ (Richard Dawkins) นักวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยาและชาติพันธุ์วิทยา) ผู้เป็นกระบอกเสียงสำคัญของการรณรงค์ให้มนุษย์เลิกงมงายกับความเชื่อทางศาสนา เปรียบความศรัทธาในพระเจ้าเหมือนการเหยียดสีผิว ที่จะค่อยๆ จางหายไปจากความนิยมในสังคม เมื่อมนุษย์เรียนรู้ที่จะไตร่ตรองด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
หากความเห็นของดอว์กินส์จะเป็นจริง ก็คงไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้ (และความศรัทธาในพระเจ้ากับการเหยียดสีผิวระหว่างมนุษย์อาจมีความแตกต่างกันมากกว่าที่ดอว์กินส์คิด) แต่สิ่งที่สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าจริง อย่างน้อยก็ในอเมริกาต้นศตวรรษที่ ๒๑ คือ คน “ผิวสี” มีสิทธิและเสรีภาพมากกว่าเดิม ถึงขั้นที่หลายคนกลายเป็นผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในหลายสาขาอาชีพ (และมีสมาชิกวุฒิสภาเป็นตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี ๒๐๐๘) ทั้งๆ ที่เพียงไม่ถึง ๔๐ ปีที่แล้วพวกเขายังถูกจัดเป็นพลเมืองชั้นต่ำ ถูกห้ามไม่ให้เทียบเคียงกับคนขาว และเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายร่างกายจนถึงชีวิตโดยไม่ได้รับความยุติธรรมทางกฎหมายแต่อย่างใด
พูดง่ายๆ ชีวิตของพวกเขาไม่ดีกว่าผักปลา ในสายตาของคนขาว ผักกับปลายังได้รับการทะนุถนอมดีกว่าด้วยซ้ำ
เม็ดการ์ เอเวอร์ส เป็นหนึ่งในคนจำนวนมากที่ถูกเกลียดชังและถูกสังหารเพราะสีผิว เขาเป็นพลเมืองดี มีประวัติน่านับถือ (เคยเป็นทหารออกรบกับกองทัพอเมริกัน) และมีผลการเรียนเป็นเลิศ ถึงอย่างนั้นเมื่อสมัครเข้าโรงเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี เขากลับถูกปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่าสีผิวของเขาเข้มเกินไป
ไม่ถึง ๑ วันก่อนที่เอเวอร์สจะถูกยิง ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี เพิ่งกล่าวสุนทรพจน์แพร่ภาพออกโทรทัศน์ทั่วประเทศว่า “ประเทศนี้เกิดขึ้นได้โดยคนหลากเชื้อชาติและพื้นเพ สร้างขึ้นด้วยหลักการที่ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน และเมื่อสิทธิของมนุษย์ ๑ คนถูกคุกคาม ก็แปลว่าสิทธิของมนุษย์ทั้งหมดสูญหายไปด้วย ...วันนี้เรามุ่งมั่นกับการดิ้นรนต่อสู้ในระดับโลก ที่จะสนับสนุนและปกป้องสิทธิของมนุษย์ทุกคนที่ต้องการเป็นอิสระ”
ชายผู้ลั่นไกใส่เอเวอร์สเป็นสมาชิกของขบวนการ Klu Klux Klan (ที่ต่อต้านคนผิวสีด้วยความรุนแรงและการฆาตกรรมมาตั้งแต่ปี ๑๘๖๖) ชื่อ ไบรอน เดอ ลา เบ็กวิท (Byron de la Beckwith) เขาถูกจับในปีถัดมา แต่แล้วก็ได้รับการปลดปล่อยโดยคณะลูกขุนในศาลซึ่งเป็นคนผิวขาวทั้งหมด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น