วันเสาร์, ตุลาคม 16, 2553

Rude Boys Music เพลง รูดบอยส์


Rude Boy คืออะไร ลองอ่านบทความต่อไปนี้ดู  แล้วคุณจะกระจ่าง..!!
   ด้วยความที่ดนตรีของชาอเมริกันส่งอิทธิพลต่อในจาไมกา  ทำให้เกิดแนวดนตรีใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย หนำซ้ำยังเป็นแนวใหม่ที่ถูกอกถูกใจวัยรุ่นจาไมกาเป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะวัยรุ่นผิวดำจากถิ่นสลัมที่เรียกตัวเองว่า "รูดบอย"
    ตามนิยามของพวกเขาเอง คำว่า "Rude" หมายถึงใครก็ได้ที่ต่อต้านรัฐบาล  ไม่ว่าจะเป็นนักปฏิวัติสลัม,มือปืน, แก๊งวายร้าย หรือใครก็ได้ตามที่ถูกกดดันจากพรรคการเมืองชั้นนำ 2 พรรคของจาไมกาให้ทำผิดกฏหมาย
    รูดบอยส์ชอบเต้นรำ  สุมหัวกันเป็นแก๊ง  พกอาวุธทุกชนิดและมีเรื่องกับเจ้าหน้า่ที่บ้านเมืองเสมอจนเป็นที่เอือมระอาของทั้งคนผิวดำและผิวขาวที่ฐานะเหนือกว่า    อุดมการณ์ของ Rastafarian ดึงดูดใจรูดบอยส์บางส่วนที่เคลื่อนไหวสะเปะสะปะให้เข้ามายึดถือเป็นสรณะ  เพราะรูดบอยส์หรืออีกหนึ่งคือรูดดี้ (Ruddy)  ต่อต้านศาสนาและศีลธรรมแบบอาณานิคมชนิดสุดโต่ง...
     สัญลักษณ์ของพวกเขาคือมีดโค้งคมเฟืองที่ใช้คอดเกร็ดปลา ส่วนมาจะใช้ ยี่ห้อ OKABI  รูดบอยส์ทำให้ถนนของกรุงคิงสตันเป็นถนนที่ไร้มารยาทและความปลอดภัย  เพราะรูดบอย จี้ ปล้น วิ่งราว กินเหล้า สูบกัญชา ขายกัญชา และรัมข้าวหลอน   รูดบอยส์ไม่ลังเลที่จะใช้ความรุนแรงกับใครก็ตามทันทีหากอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ที่พ้นสายตาตำรวจ   พวกเขาส่วใหญ่ทำตัวเป็นแค่นักปล้นและนักสร้างความกลัวเหนือชุมชนสลัมและแคมป์คนไร้บ้าน
     เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงจากปัญหาความยากจนและความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังจาไมกาได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1962
     รูดบอยส์จำนวนไม่น้อยถูกชักจูงให้เข้าเป็นเครื่องมือทางการเมืองทั้งของพรรคสังคมนิยม (รัฐบาล) และพรรคอนุรักษ (ฝ่ายค้าน) ด้านธุรกิจเพลงก็เช่นเดียวกัน  เพราะบริษัทแผ่นเสียงมักใช้รูดบอยส์ให้ดูแลความปลอดภัยเวลาจัดคอนเสิร์ตหรือปาร์ตี้บางโอกาสก็ใช้รูดบอยส์ไปทำลายธุรกิจของฝ่ายตรงข้าม
    คำว่ารูดบอยส์ถูกนำไปใช้เรียกชื่อแนวเพลง ที่เป็นการผสมผสานกัน  ระหว่าง ร็อคและสกา  ซึ่งครั้งหนึ่ง  Bob Marlay ก็เคยตั้งชื่อวงว่าเดอะ เวลลิง รูดบอยส์

   ในเพลง รูดบอยส์ถูกพูดถึง 2 แง่คือ แง่ดี และแง่ร้าย
   แง้ร้ายคือมองเป็นตัวปัญหา  เพราะใน ค.ศ. 1965 เกิดการปะทะทางสีผิวระหว่างคนดำกับชาวจีนที่เข้ามายึดธุรกิจขนาดเล็กและแน่นอนว่าตัวนำการปะทะก็คือ  รูดบอย  ทำให้หลังเหตุการณ์ดังกล่าวมีเพลงที่เขียนขึ้นเพื่อต่อต้าน  และเรียกร้องให้ลงโทษรูดบอยส์  อย่างเด็ดขาด  อาทิ  เพลง Johnny too Bad (จอนห์นี่คนสารเลว) ของเดิะ สลิงเกอร์ และ Shanty Town (ชุมชนแออัด)  แม่ดีคือแสดงความเห็นอกเห็นใจ  โดยเฉพาะเพลงของ Bob Marley ที่เข้าใจถึงต้นตอของปัญหาอย่างถ่องแท้ว่าอันที่จริงแล้วเรื่องแย่ ๆ ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหง  การไร้สิ้นความหวัง  เพราะเขาเองก็คือรูดบอยส์คนหนึ่ง  อาทิ เพลง Jail House (คุก-ตะราง)  ที่มีเนื้อหา ประมาณว่า "ไม่มีใครต่อกรกับคนหนุ่มยุคนี้ได้  เพราะคนหนุ่มแกร่งเหลือเกิน  ไม่มีใครควบคุมมวลชนได้  เพราะคนทั้งผองคือคนดิบ"


  ยังมีอีกบุคคลหนึ่งที่ต้องกล่าวถึง  นั่นก็คือ Mr.Clement "Sir Coxsone" Seymour Dodd. Clement เป็นชาวจาไมกัน  Clement เป็นเจ้าพ่อวงการดนตรีจาไมกา, นักธุรกิจดนตรีสมองใส, Sound Engineer, Producer, ผู้ก่อตั้งบริษัทแผ่นเีสียงเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Ser Coxsone's Down Beat และ Studio One สตูดิโอแห่งแรกในจาไมกา

        ศิลปินที่เขาโปรดิวซ์และบันทึกเสียงในสตูดิโอของเขามีดังนี้
     Skatalites, Soul Vendor, Soul Brother, Bob Marley & The Wailers, Ken Booths, Delroy Wilson, Dennis Brown, Jackie Mittoo, Don Drummond, Monty Alexander, Ernie Rangin, The Paragon, Alton Ellis, Buring Spear, และอีกนับไม่ถ้วน
        Clement นับเป็นคนแรก ๆ ที่คิดค้นวิธีการ  Dub
        Clement เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานนี้เอง

วันพุธ, ตุลาคม 13, 2553

John Butler อัจฉริยะยุคใหม่



John Butler
(เกิด 1 เมษายน 1975) เป็นนักดนตรีชาวอเมริกันออสเตรเลีย เขา เป็นหัวหน้าวง ของ John Butler Trio, วงดนตรีที่มีความระเบียนทองคำขาวสองในออสเตรเลียกับสาม (2001) และความเป็นอยู่ 2001-2002 (2003) อัลบั้มพระอาทิตย์ขึ้นทะเลของพวกเขาถึงหนึ่งวันที่ 15 มีนาคม 2004 และจัดส่งทองคำในสัปดาห์แรกของการปลดปล่อย
อาชีพดนตรีต้น
John Butler เกิดใน Torrance, California, United States, มีพ่อเป็นคนออสเตรเลีย,และแม่เป็นคนอเมริกัน, เขารักที่จะเรียนรู้กีต้าร์และคุณยายของเขาให้กีต้าร์ รุ่น dobro ซึ่งเป็นตัวเก่าของคุณปู่กับเขา กีตาร์ตัวนี้ผลิตในปี  1930  มันยังคงเป็นหนึ่งของทรัพย์สินที่มีค่าของJohn Butler
            ใน ปี 1996
John Butlerได้เข้าร่วม Butler Curtin University การแสดงคอนเสริตในมหาวิทยาลัยที่เรียนจบ มีอาจารย์ของเขาได้แนะนำให้เปิด tunings เมื่อเขาไปคอนเสิร์ตครั้งแรกของเขา Jeff Lang นี้จะอนุญาตให้เขา  ชมและเล่นดนตรีเซลติกและอินเดียเป็นส่วนประกอบสำหรับกีต้าร์แบบดั้งเดิม เขาเริ่มต้น busking บนถนนของฟรีแมนเทิลที่บ้านของเขาปลูกองค์ประกอบที่ได้รับการตอบรับที่แข็งแกร่ง ใน กลางปี 1996  John Butler ออกเทปด้วยตัวเองที่บันทึกขององค์ประกอบของเขาเองเครื่องมือค้นหาที่ เรียกว่าเฮอริเทจซึ่งในที่สุดขาย 3,000 ชุดในฟรีแมนเทิล เมื่ออายุ 21 เขาได้ลดลงจาก Curtin University เพื่อติดตามการทำงานดนตรี
     John Butler เริ่มอาชีพดนตรีของเขาเป็น busker ใน Fremantle ก่อนที่จะบรรลุชื่อเสียงของเขาในปัจจุบัน  เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรค์มากมาย Phil Stevens, promoter ดนตรีท้องถิ่นที่ต่อมากลายเป็นผู้จัดการของ John Butler เป็นหนึ่งในคนที่ซื้อค้นหาเฮอริเทจ เขา เสนอJohn Butler อยู่ครั้งแรกของเขาทุกวันอังคารที่สองที่แถบภาคเหนือ Fremantle,'Mojos'ซึ่งเขาเป็นเจ้าของในปี 1998. John Butler ต่อไปสร้างฐานแฟนเพลงของเขาที่ gigs เหล่านี้และภายในสิ้นปี 1998 เขาได้รับการวางแผนครั้งแรกของเขา บันทึกอาชีพอัลบั้ม
John Butler Trio
บทความหลัก :
John Butler Trio
กับ
Jason McGann บนกลองและ Gavin Shoesmith บนเบส, รุ่นแรกของจอห์นทรีโอบัทเลอร์บันทึกอัลบั้มของ John Butler ในเดือนธันวาคมปี 1998 ซึ่งได้เปิดตัวที่ Mojos วง toured ทั่วออสเตรเลียตะวันตกในปี 1999 Waifs เชิญเดี่ยว John Butler เพื่อดำเนินการในทัวร์ออสเตรเลียของพวกเขาและเขายังแสดงคอนเสิร์ตของตัวเอง John Butler Trio จากนั้นเปิดตัวทัวร์ของตัวเองที่จอห์นได้พบกับภรรยาของเขาในอนาคต Caruana แดเนียลบรูม
วง ของเขาทั้งสองรุ่นแรกของ
John Butlerในปี 1998 และ JBT EP ในปี 2000 ประสบความสำเร็จในระดับปานกลางซึ่งช่วยให้เขาสร้างส่วนใหญ่คำปากต่อไปนี้ การพัฒนามาพร้อมกับอัลบั้มชุดที่สองของวงสามในปี 2001 อัลบั้ม ที่โดดเด่นแทร็ค"พา"และ"Betterman"ซึ่งทั้งสองได้รับ airplay วิทยุมากในเยาวชนทางเลือกสถานีวิทยุออสเตรเลีย Triple J และนิยมอย่างสูงในปีแรกของพวกเขา 100 ปรากฏตัวใน Big Day Out, Woodford Folk Festival, และเทศกาลสำคัญอื่น ๆ ตามมา
โดย เวลาพระอาทิตย์ขึ้นทะเลได้เปิดตัวสามปีต่อมาเดี่ยว"ม้าลาย"ได้รับ
airplay อย่างกว้างขวางในวิทยุการค้าและพิสูจน์แล้วว่าตีที่สำคัญสำหรับวง. [6] ในปี 2006 วงดนตรีการส่งเสริมอัลบั้มอย่างกว้างขวางในประเทศสหรัฐอเมริกา
ชีวิตการเป็นนักดนตรี
    John Butler จะเปิดเผยกับความเชื่อทางการเมืองของเขามักจะทำให้งบสนับสนุนสันติภาพทางการ เมืองการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและความรักและความเคารพทั่วโลกที่การแสดงของ เขา. เขาได้รับการสนับสนุน Wilderness สังคมและแคมเปญบันทึกนิงกาลู Reef.  เขาเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นเวลา นานสำหรับ dreadlocks ลายเซ็นของเขาที่เขาตัดออกในปี 2008 :."ใช่ฉันตัดพวกเขาและในที่สุดมันรู้สึกดีคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพักและก็ มีที่จะทำมันถึงแม้ว่าผมชอบ dreadlocks, พวกเขาก็ไม่ได้ สิ่ง ที่ผมรู้สึกอีกต่อไปและผมจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง".  ยาวแหลมของเขาเล็บอะคริลิซึ่งต้องมีลายนิ้วมือที่ไม่ซ้ำกันการเลือกรูปแบบ ที่เขาใช้ในบางเพลงเป็นหนึ่งในเครื่องหมายการค้าของเขาอีก

วันเสาร์, ตุลาคม 09, 2553

Bob Marley ศาสดาขบถ ที่โลกยกย่อง

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมผู้ชายหัวเดรดล็อกคนนี้  ถึงได้มีอิทธิพลต่อคนทั่วทั้งโลกได้มากมายขนาดนี้
      แต่ก่อนตัวเราเองก็เคยสงสัยเหมือนกันคับ  เพราะตั้งแต่ได้ยินพันธมิตรชาวรัสตาร์พูดถึงกันปากต่อปาก
   พูดถึงความยิ่งใหญ่  ความเสียสละ  ความเป็นผู้นำ และพระเจ้า  พอได้ยินเข้าบ่อย ๆ ก็ชักจะทนไม่ไหวต่อความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง  เราจึงลงมือค้นคว้า เพื่อให้ได้ความต้องการสมกับความปรารถนาอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง  ถ้าคุณเกิดสงสัยเหมือนผมในอดีต  ขอให้คุณอ่านเรื่องราวที่ผมจะเล่าให้อ่านจากนี้
แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไม ?  และไม่แน่คุณอาจจะกลายเป็นสมาชิกใหม่ของลัทธิ "รัสตาฟาเรียน" เหมือนที่ผมเป็นตอนนี้ก็ได้  "อย่าปฏิเสธกับสิ่งที่คุณไม่รู้คับ  เพราะบางครั้งมันอาจเป็นสิ่งที่คุณตามหามาตลอดชีวิตก็ได้ "

       Bob Marley หรือ Nesta Robert Marlay  เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์  1945  ในหมู่บ้านชาวไร่ที่ทิวทัศน์สวยงามและอากาศบริสุทธิ์  เป็นหมู่บ้านที่คนแถบนั้นตั้งชื่อให้ว่า "หลักเก้า"  ตั้งอยู่ในเขตเซนต์แอนด์  ประเทศ จาไมกา  ซึ่งเป็นเขตเดียวกับสุดยอดนักปฏิวัติคนดำที่ชื่อ  มาร์คัส  การ์วีย์
      ในวัยเด็ก Bob Marley เติบโตมากับครอบครัวใหญ่  ที่ค่อนข้างจะมีฐานะ  เมื่อเทียบกับครอบครัวอื่น ๆ ในหมู่บ้าน  และยังเป็นกึ่ง ๆ ครอบครัวนักดนตรีด้วย  เ้พราะตกเย็นหลังจากที่ทุก ๆ คนเหน็ดเหนื่อยจากการทำไร่  คุณแม่ของ Bob Marley มักจะเล่นไวโอลินและแอคคอร์เดียนพร้อมกับคุณลุงที่เล่นกีตาร์และเป็นนักดนตรีอาชีพของหมู่บ้านให้คนในครอบครัวฟัง
    Bob Marley เป็นที่รักของคุณตามากเพราะเป็นหลานคนแรก  ซึ่งตัวเขาเองก็รักคุณตามากเช่นกัน
    คุณแม่ของเขาชื่อ ซีเดลลา  เป็นแอฟริกัน ผิวดำขนานแท้  แต่คุณพ่อ  ร้อยเอกนอริวัล  มาร์เลย์  นายทหารแห่งกองทัพอังกฤษประจำอินเดียวตะวันออกเป็นแอฟริกันผิวขาว  ซึ่งเรื่องรักข้ามสายพันธ์นี้  ทำให้ชีวิตของ Bob Marley  ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยรุ่นเต็มไปด้วยปัญหามากมาย  เ้พราะครอบครัวทั้ืง 2 ฝ่ายไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน Bob Marley  เกลียดพ่อมาก  เพราะพ่อทิ้งเขาและแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก  โดยหลังจากเริ่มมีชื่อเสียง  เขาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับพ่อว่า
   "ผมเกิดมาไม่มีพ่อ  ไม่เคยรู้จักพ่อ  แม่ผมทำงาน 20 ชิลลิ่งต่อสัปดาห์  เพื่อใ้ห้ผมได้ไปโรงเรียน  แต่ผมไม่ได้รับการศึกษา  ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมีแรงบันดาลใจ  ถ้าผมมีการศึกษาผมก็คงกลายเป็นไอ้งั่งไปแล้ว..!!!"
   "พ่อผมเป็นคนจากอังกฤษ  ก็ที่นี่แหละเหมือนกับในนิยายเกี่ยวกับทาสนั่นไง  คนขาวคว้าผู้หญิงดำแล้วทำเธอท้อง  ผมเคยเจอเขาครั้งเดียวในชีิวิต  แม่ผมรึ ? แท้ผมเป็นแอฟริกัน "
    พ่อของ Bob Marley ทิ้งเขาไปตั้งแต่เขาอายุได้ 6 ขวบแต่ไม่นานก็กลับมาเอาตัวเขาไปอยู่ด้วยที่กรุงคิงสตัน (เมืองหลวงของจาไมกา) และพ่อเขาก็พยายามตัวขาดการติดต่อระหว่างเขากับแม่ด้วยการไม่เปิดเผยที่อยู่ให้กับแม่ของ Bob Marley ได้ทราบ
    กระทั่งวันหนึ่งคุณแม่ทนไม่ไหว  จึงเดินทางเข้าคิงสตันเพื่อตามหา  แล้วก็พบกับ Bob Marley เข้าโดยบังเอิญที่ถนนเส้นหนึ่งในตัวเมือง  หลังจากนั้น Bob Marley ก็พาแม่ไปดูที่พักและรู้จักกับมิสซิสเกรย์  หญิงชราที่พ่อเอาเขาไปยกให้เป็นลูกบุญธรรมด้วยหวังว่าวันนึงเมื่อเธอตาย  เธอจะยกสมบัติให้ลูกบุญธรรม  เมื่อคุณแม่ของ Bob เห็นดังนั้น  เธอจึงพาเขากลับเซนต์แอนก่อนจะพาเขากลับเข้าคิงสตันอีกครั้งในปี 14957 เพื่อทำงาน  โดยอาศัยอยู่ในย่านสลัมฝั่งตะวันออก

    บ๊อบโตมากับสลัม,เด็กขาดสารอาหาร,โรคไทฟัส,โรคโปลิโอ และความรุนแรงที่มาจากภาวะกดดันที่เกิดจากความแร้นแค้นอย่างสุดจะประมาณ
   แต่สลัมที่เต็มไปด้วยความทุกยากนี้  Bob Marley ได้พบกับเพื่อนแท้ที่อยู่เคียงข้างไปจนวันตาย  สลัมที่ทุกยากนี้ กรั่นกรองจิตวิืญญานที่ยิ่งใหญ่  ของ Bob Marley ให้ปรากฏออกมา น้า Bob Marley เป็นคนที่รักเพื่อนมาก  ครั้งหนึ่งเขาไปโรงเรียนแล้วถูกเพื่อนเอามีดกรีดหน้าเป็นแผลขนาดใหญ่  แต่เขาไม่บอกใครแม้กระทั่งแม่ตัวเอง  จนกระทั่งเพื่อนของเขาคนหนึ่งมาบอกแม่ว่า Bob Marley ถูกกรีดหน้า  เธอจังเร่งรุดไปที่โรงเรียนแล้วก็พบเขาเอาพลาสเตอร์แปะแผลไว้  โดยเขาให้เหตุผลที่ไม่บอกกับใครว่า  เพราะกลัวว่าคนอื่นจะแจ้งตำรวจมาจับเพื่อนที่กรีดหน้าเขา  นี่คือรอยแผลที่อยู่คู่กับเขาไปจนวันตาย
    เมื่อ Bob Marley อายุได้ 15 ปี เขาเริ่มหัดร้องเพลง  โดยมีโอกาสร้องครั้งแรกในโรงภาพยนตร์  แต่แม่ไม่ชอบที่เขาร้องเพลง  เพราะอยากให้เขาเรียนหนังสืออย่างตั้งใจสมกับที่เขาอุตส่าห์ทำงานแทบตายเพื่อจะส่งให้ bob marley ได้เข้าโรงเรียน  แต่กระนั้น  วันหนึ่ง bob marley ก็ส่งหนังสือเรียนคืนแม่พร้อมกับบอกให้เธอเอาไปให้คนอื่นที่น่าจะได้ใช้ประโยชน์มากกว่า  เพราะวันนั้นเขาตัดสินใจที่จะเลิกเรียนหนังสือ  เพื่อมาฝึกร้องเพลงอย่างจริงจัง  ซึ่งเมื่อคุณแม่เห็นในความตั้งใจจริงท่านก็ไม่ขัด  หลังจากนั้น Bob Marley จึงได้ฝึกร้องเพลงอย่างจริงจัง  พร้อมกับทำงานเป็นช่างควบกันไป
   แรงบันดาลใจทางดนตรีของ bob Marley คือ เพลงจากฝั่งอเมริกันที่เขาได้ยินจากเครื่องวิทยุทรานซิสเตอรฺ์ Bob Marley สนใจเพลงของ เดอะ ดริฟเตอร์ และ เอลวิสเป็นพิเศษ  เขาฝึกเล่นดนตรีมาเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งก็ไปพบกับวิทยาลัยดนตรีนอกรูปแบบของอดีตนักร้องชื่อดัง "โจ ฮิกก์" ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับเขตที่ Bob Marley อาศัยอยู่
     ทุก ๆ เย็นในห้องเช่าของฮิกก์จะเต็มไปด้วยวัยรุ่นที่ฟังเพลง  และศิลปิน  นักร้อง  นักดนตรีที่มาฝึกปรือฝีมือและดื่มเบียร์  สูบกัญชา  วิทยาลัยดนตรีแห่งนี้เปิดสอนฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
   Bob Marley อยากเป็นทั้งนักร้องและนักดนตรีจึงไปยืมกีตาร์จากเพื่อนมาฝึกซ้อมและให้เพื่อน ๆ ที่เขาพบที่สถาบันดนตรีช่วยสอน  ในบรรดาวัยรุ่ีนกลุ่มนักดนตรีในบ้านหลังนั้น  กลุ่มของ bob marley และเพื่อน ๆ เป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจและจริงจังกับการเล่นดนตรีที่สุด  กระทั้งฤดูร้อนแี 1963 ฮิกก์  ได้นำกลุ่มนักดนตรีจากสลัม 6 คน ในนามวง The Welling Wailer ประกอบไปด้วย Bob Marley และเพื่อน ๆ เข้าออดิชั่นเพื่อออกอัลบั้มกับนักธุรกิจดนตรีมือฉมัง  คลีเมนต์  ดอดด์  เจ้าของบริษัทแผ่นเสียงเล็ก ๆ
      การออดิชั่นเป็นไปอย่างน่าผิดหวังตั้งแต่ต้นจนจบ  เพราะไม่สามารถดึงดูดความสนใจของด็อดได้เลย  กระทั่งเพลงสุดท้ายจบลงและทุก ๆ คนในวงดนตรี The Welling Wailer ได้รับคำตอบว่า
"เล่นกันได้ดี  แต่กลับไปฝึกมาใหม่  แล้วอีก 3 เดือนเจอกัน" ซึ่งประโยคนี้เองที่สร้างความไม่พอใจกับ ปีเตอร์ ทอซ  หนุ่มเลือดร้อนที่สนุดในวง  เขาจึงบอกให้เื่พื่อนๆ เล่นเพลง Simmer Down โดยที่เพื่อน ๆ ทุกคนค้านว่าอย่าเล่นเลย  พราะยังไม่เคยซ้อมกัน  แต่เขาก็ดันทุรังจนในที่สุดก็ได้เล่นและเพลงนี้เอง ที่โดนใจ ด็อดได้เต็ม ๆ เพราะเป็นเพลงที่เขียนจากใจ  ใช้ภาษาที่แปลก  และเป็นการสื่อสารของเด็กสลัมถึงเด็กสลัมขนานแท้  เข้าจึงนัดใ้ห้ Bob Marley & The Wailer มาอัดเสียงเพลงนี้อีกครั้งในวันถัดมา  และเมื่อเพลงนี้ถูกเปิดออกอากาศ ก็กระเด้งขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งทันที  และอยู่บนชาร์ฺตนานถึง 6 เดือนเต็ม ๆ
    และหลังจากวันนั้นชีวิตของ Bob Marley & The Wailer ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เขากลายเป็น ศิลปินที่อยู่ในใจของชาว แอฟริกัน แต่เป็น ศิลปินที่ไม่มีเงินในกระเป๋าสักบาทนะคับ  พวกเขาทั้งหมด ยังคงเป็นศิลปินที่ อดมื้อกินมื้อ  ไม่ต่างกับช่วงที่เป็นแค่เด็กสลัมธรรมดา  เพราะรายได้จากการขายแผ่นเสียงถูก  ดอดต์ โกงกินเพียงคนเดียว  โดยแบ่งให้พวกเขาแค่ 16-20 ปอนด์ต่อการอัดเสียง 1 เพลง  หนำซ้ำ ดอดต์ ยังเป็นนักธุรกิจที่เป็นมาเฟียร์ มีลูกน้องพกปืนและอารักษ์ เขาอยู่ตลอดเวลา
    เหตุการณ์ทำนองนี้เป็นเรื่องปกติของจาไมกา  ซึ่งมันชี้ให้เห็นถึงความยากลำบากเป็นอย่างดี และเมื่อมันสุดจะทนจริง ๆ อีกหลายปีถัดมา วันที่ Bob marley ออกตัวเป็นกระบอกเสียงและเป็นผู้นำในการปลดปล่อย  ชาวจาไมกาจึงลุกฮือขึ้นมาตอบรับเขาราวกับพระเจ้า  แต่ที่สุดแล้วขณะที่วงกำลังไปได้ดีสมาชิกทั้งหมดของวง ก็ทนสันดานของดอดต์ไม่ไหว  ทำให้ความสัมพันธ์ ของ Bob Marley และดอดต์ ขาดสะบั้นทั้ง ๆ ที่ น้า Bob พยายามรักษามันไว้อย่างสุดชีวิต
   และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความเกลียดชังต่อโลกที่เป็นแรงผลักดันให้ Bob Marley ผู้ผิดหวังต่อความน่านับถือของมนุษย์บนโลก ต่อสู้และฝันฝ่าอย่างถึงทีั่สุดเพื่อจะได้เปิดบริษัทดนตรีเป็นของตัวเอง และเขาก็ทำได้สำเร็จตามปรารถนาของเขา
    Bob Marley  ได้พบกับหญิงสาว ชื่อว่า ริตาร์ และเขาแต่งงานและใช้ชีวิตด้วย จนกระทั่งมีลูกชาย 2 คนคือ

                                                                  Damian  Marley

                                                                               Ziggy Marley

ในปี 1979  เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นที่ Zinbabwe ซึ่งขณะเดียวกันนั้น Bob Marley ก็กำลังแสดงคอนเสริตเพื่อเรียกหาสันติภาพ  และสิทธิของชาวเอธิโอเปีย  บนเวทีคอนเสริตนั้น Bob Marley โหมโรงด้วยเพลง Exodus เสียงกลองบองโกของโอลาตุนจิถี่กระชั้น  ผู้คนส่งเสียงกึกก้อง  บทเพลงติดตามด้วย Zimbabwe และ Get up Stand up ครึ่งแรกของการแสดง  วงคอรัสของ Bob ได้ยืนอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของเวที  พวกเธอเต้นรำพลางสะบัดหัวไหล่เปลือยเปล่า  ขณะที่กำลังเล่นเพลง Zimbabwe อยู่นั้น  บ๊อบทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมา่ก่อน  เขากล่าววาจาเรียกร้องผู้คนให้รวมตัวกันเพื่อเอกภาพและภารดรภาย  โดยยกเอาบริบทในบทเพลงต่าง ๆ ของเขาออกมา มีจัยความว่า :

   "ทุกคนรู้ดี  โลกที่สามกำลังลุกฮือขึ้นต่อสู้  เราทั้งผองต้องรวมตัวกันเพื่อซิมบับเว...ผู้หญิงและเด็ก ๆ สามารถเป็นอิสระ  พวกเราจักต้องเป็นอิสระ  คุณก็รู้  เนิ่นนานกว่าสี่ร้อยปีมาแล้ว เราตกเป็นเชลย  ดังนั้น  เราต้องการกลับบ้าน  กลับสู่ดินแดนของเรา....รัสตาฟารี  รู้ว่า....ใช่สิ..!! จงอย่ายินยอมให้การโฆษณาชวนเชื่อชักนำคุณให้เดินในทางผิด  ข่าวลือเหล่านั้นคือความเท็จ  ไฮเลเซลาสซีที่ 1 (Jah  Rastafarian) ผู้ทรงเดชานุภาพ.....ซิมบับเวจักต้องได้รับอิสรภาพ  จาห์ตรัสว่าอัฟริกาจักต้องได้รับการปลดปล่อย...!  ดังนั้น  เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจในโชคชะตาของตัวเอง  ใช่แล้ว..!!  มองดูเราสิ  ดูนี่ท่านทั้งหลายจงตื่นขึ้น  ลุกขึ้น อย่างมีชีวิตชีวา  ชีวิตก็เหมือนถนนสายใหญ่ที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายจราจร...จงย่ำเท้าของท่านลงบนฝุ่นธุลี...บุคคลผู้ที่ไม่รู้จักอดีตของตนก็เหมือนต้นไม้ที่ไร้ราก  มาเถิดลูกหลานทั้งหลาย  เราไม่อาจเอ่ยปากปราศรัย  เราเพียงแ่บอกกับท่านทั้งหลายว่า  เราจะต่อสู้เพื่อสิทธิของเรา  เราเป็นรัสตาร์และพวกเราทั้งหมดก็เป็นชาวรัสตา  จิตสำนึกจะปกป้องคุ้มครองโลก  ท่านทั้งหลาย...!  จงปลดปล่อยตัวเองออกจากความเป็นทาสในจิตสำนึก  ไม่มีใคนอกจากตัวเราเองที่สามารถปลดปล่อยจิตใจของเรา   คุณรู้ใช่ไหมว่าผมกำลังพูดถึงสิ่งใด ? บาบิโลนกำลังลุกไหม้  แรงสั่นสะเทืิอนของมันทำให้โลกหยุดเคลือนไหว  มวลชนผู้มีอิสระจงตื่นขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา !  รัสตาฟารี  และพระผู้เป็นเจ้า  ทรงอนุญาติ ..!"
      และหลังจากนั้น 1 ปี เขาก็เดินทางต่อสู้และฟันฝ่าจนเป็น Bob marley ผู้ล่วงลับที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้
Bob Marley เสียชีวิตลงในวันที่ 11 พฤษภาคม 1981  ในโรงพยาบาลในไมอามี่ สหรัฐอเมริกา ด้วยโรคมะเร็ง ..!!!



อย่ามองผมอย่างคนใจแคบ..
แล้วพูดว่าผมเป็นคนเลว...
คุณเป็นใครที่มาตัดสินผม , และชีวิตของผม ?

ผมรู้อยู่ว่าผมไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ..
และผมก็ไม่เคยเที่ยวเอ่ยอ้าง...
เช่นนี้ -ก่อนที่คุณจะชี้นิ้วประณาม
จงแน่ใจเสียก่อนว่า....มือของคุณสะอาดพอ....!!

อย่าด่วนตัดสินใครอื่น...ก่อนที่คุณจะพิพากษาตัวเอง...
อย่าด่วนตัดสินใครอื่น ..หากตัวคุณเองยังไม่เพียบพร้อม..!

ถนนแห่งชีวิตนั้นขรุขระ
แม้คุณเองก็อาจก้าวสะดุด
ดังนี้ เมื่อคุณกล่าวตำหนิผม
ใครบางคนอาจตัดสินคุณอยู่ก็ได้



 จากเพลง Judge not 

วันพุธ, ตุลาคม 06, 2553

Bob Marley - Jah Live

Rastafarian วงดนตรี The wailer & bob marley

       
     ต้นปีค.ศ. 1967 The Wailer (เดอะ วอรเลอร์)  คือคณะดนตรีกลุ่มแรก ๆ ที่ปวารณาตนนับถือลัทธิรัสตาฟาเรียน  ขณะเดียวกันที่น้า Bob Marley ของเราก็กำลังไว้ผมทรงฟั่นเชือก  หรือ Dreadlock และขณะเดียวกัน  พวกเขาก็สูบกัญชามากขึ้นและอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลมากขึ้น รวมทั้งฝึกพูดภาษาท้องถิ่นของชาวรัสตาร์
       เดอะ เวลเลอร์ เรียนรู้อุดมการชาตินิยม  และความเชื่อในพระเจ้าของคนผิวดำจากพวกรัสตาในเก็ตโต  ย่านสลัมในกรุงคิงตัน  แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่ารัสตาฟาเรียน  หยั่งรากลงในสังคมจาไมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าลัทธินี้แพร่ขยายหลังการปราศรัยของ Marcus Garvey ที่กรุงคิงตันปี ค.ศ. 1927  (มาร์คัส  กาวีย์ คือนักปฏิวัติผู้ทรงอิธิพลของคนจาไมกันผิวสีดำ)


       แม้ไม่มีึหลักการทางศาสนา  พระคัมภีร์  หรือโครงสร้างแห่งศาสนาจักรที่แน่นอน  แต่บรรดาสาวกรัสตาก็เชื่อว่า  องค์พระจักรพรรดิ Heile Selassie I (ไฮเลเซลาสซี - ไอ) ที่หนึ่งแห่งเอธิโอเปีย  คือพระผู้เป็นเจ้าที่มีชีวิต  อยู่เหนือมวลมนุษย์ทั้งปวง  เป็นผู้ควบคุม ราชสีห์ แห่งจูดาห์  ซึ่งก่อนได้รับการสวมมงกุฏนั้นพระองค์มีพระนานเดิมว่ารัสตาฟารี  มาคอนเนน  ซึ่งแปลว่า  พลานุภาพแห่งพระตรีเอกานุภาพ (Power of The Trinity)  ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเมเนคิล  ผู้เป็นบุรุษของกษัตริย์โซโลมอน (King Solomon)  และราชินีชีบา (Queen of Sheba) ที่ปกครองอาณาจักร  เอธิโอเปีย  เป็นถิ่นฐานดั่งเดิมที่พวกเขามา  และไฮเลเซลาสซีก็คือผู้ไถ่บาปของคนดำ   พระเจ้าที่จุติมาเกิดเป็นมนุษย์  ที่จะมาปลดปล่อยคนแอฟริกันและคนดำจากความเป็นทาส  และนำพวกเขาไปสู่ความยุติธรรมในสังคม
       พวกชาวรัสตาร์เชื่อกันว่า ผู้ใดที่มีทรงผมฟั่นเชือกที่ยาวมากเท่าไหร่  คน ๆ นั้นจะมีพลังและอำนาจมากขึ้นด้วย  ทรงผมฟั่นเชือก เป็นสิ่งชี้วัดความเจนจัด  ความปราดเปรื่อง  และมากด้วยความรู้  และยังบอกถึงระยะเวลา  หรือความยาวนานที่รัสตาแมนคนนั้น  ได้หันมานับถือลัทธินี้ด้วย
"พวกเขา่ไว้ผมทรงฟั่นเชือก  แต่ทว่าในหัวใจว่างเปล่า"


       และสำหรับชาวรัสตาแล้ว กัญชาหรือที่พวกเขาเรียกว่า "สมุนไพร" (Herb) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำสมาธิใน และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา 
    พืชชนิดนี้ถูกให้ค่าว่าเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เหนือกว่าการเสพเพื่อความพึงพอใจ  คือมันมีสภาวธรรมแห่งการบำเพ็ญภาวนาและสมาธิ  และนำเส้นทางให้พวกเขาได้เข้าพบพระเจ้า  พวกรัสตาอ้างว่าแม้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลก็ยังระบุถึงเรื่องนี้ไว้ในบทที่ว่าด้วย  Psalm ซึ่งระบุว่า
     "พวยควัญล่องลองออกจากนาสิกของพระองค์  และไฟออกจากพระโอษฐ"
    ข้อความนี้เองที่ชาวรัสตาฟาเรียนถือเป็นหลักฐานว่า  แม้แต่พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเสพสมุนไพร อีกทั้งยังบอกให้ลูกหลานของพระองค์กระทำอย่างนั้นด้วย  บทวิวรณ์นั้นคือ
    "พฤษชาติและสายธารแห่งชีวิต....ใบแห่งพฤกษานั้นบำบัดโรคภัยใ้ห้แก่มวลมนุษย์  "
  

วันอังคาร, ตุลาคม 05, 2553

ดนตรีสกา เรกเก้

    
  รสนิยมการฟังเพลงของชาวจามไมกันนั้น  ได้รับอิทธิพลจากสถานีวิทยุอเมริกันที่ลอยข้ามทะเลมา
ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความถี่จากสถานีวิทยุฟลอริดา  หรือหลุยส์เซียนา หรือสถานีนิวออร์ลีนส์
และสำหรับชาวจาไมกันนั้น ขอเพียงแค่เป็นเพลงร็อคแอนโรล์ที่มีกลิ่นอายของริธึมแอนบลูส์ฺก็เป็นอันใช้ได้
       เพลงประเถทนี้ภายหลังเรียกว่าจังหวะโซล  ซึ่งมีรากฐานมาจากดนตรีของชาวอัฟริกันผิวดำในอเมริกา  ต่อมาไม่นาน ดนตรีของชาวจาไมกันก็คลี่คลายออกไป  พวกเขาแต่งเพลงโดยการผสมผสานแนวเพลง ร็อคแอนโรล์ เข้ากับเพลงพื้นเมืองที่เรียกว่า "Mento" (เมนโต) ของอัฟริกันจาไมกัน  หรืออาจผสมคาลิบโซที่นิยมกันในอเมริกาใต้  ผลของการผสมผสานเช่นนี้ชาวจากไมกันเรียกว่า  "สกา"  แต่จังหวะค่อนข้างเร็ว  สกาจึงเหมาะเป็นเพลงเต้นรำของคนผิวดำ  
     ช่วงปลายทศวรรษ 1960  จังหวะของเพลงสกาเริ่มมีการประยุกต์เล่นให้ช้าลงกว่าเดิม และได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "Rocksteady" (ร็อคสเตดี้) และหลังการมาถึงของร็อคสเตดี้  ก็คือการกำเนิดขึ้นของ "Reggae" (เรกเก้) เพลงร็อคในสไตล์จาไมกัน  ที่หลายคนมองว่าเป็นการนำร็อคแอนโรลด์มาปรับให้มีลูกเล่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว  ด้วยการผสมผสานเข้ากับทำนองของท้องถิ่นจาไมกัน  คล้าย ๆ สกา และร็อคสเตดี้  แต่ เรกเก้  มีจังหวะในการเล่นที่เนิบช้ากว่า
      บทเพลงเรกเก้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในสถานเต้นรำ กระทั่งปี ค.ศ. 1968 บทเพลง Do The Reggae บทเพลงเรกเก้เพลงเเรก  ก็ถือกำเนิดขึ้นในท้องตลาด  เป็นผลงานของ Toots Hibbert แห่งวง The Maytals  
      กีตาร์ เบส กลอง  คือเครื่องดนตรีที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของดนตรีเรกเก้  โดยเฉพาะกลองสไตล์อัฟริกันอันเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองของจาไมกา
      ความพิเศษอย่างหนึ่งของเรกเก้คือ  "จังหวะเคาะ"  ที่ชวนให้รู้สึกราวกับต้องมนต์  นั่นคือจังหวะ 1 และ 3 ซึ่งเรียกกันว่า  จังหวะสะกิตจิต ต่างกับร็อคที่เคาะจังหวะ 2 และ  4 แต่การเคาะที่ 1 และ 3 ไม่ใช่ของใหม่ เพราะมาจากาการตีกลองแบบอัฟริกัน  ซึ่งในจาไมการเรียกดนตรีที่เลียนเเบบสไตล์พืนเมืองว่า  Root Music  
       ดนตรีเรกเก้พัฒนามาอย่างไม่หยุดยั้งตามรสนิยมของนักเต้นรำ  ความพึงพอใจในเสียงเบสและลีลาของ เรกเก้ ส่งผลให้เพลง เรกเก้ ต่างจากเพลงสไตล์อื่น ๆ  การมิกซ์เสียงเบสใส่ลงในร่องเสียง  กลายเป็นที่มาของการผลิดแผ่น ซิงเกิ้ล  ที่เรียกว่า Dub Side  หรือดนตรี Dub อันเกิดจากดนตรี Rocksteady และ Reggae เพราะมีการคิดค้น การซ้อนเสียงเบสเข้าไปสองครั้ง (Double)  ทำให้เ้กิดเสียงที่แน่นขึ้น  แล้วจากนั้นก็ลองซ้อนแบบเหลื่อม ๆ ทำให้เกิดเสียง Delay จนวันที่เทคโนโลยีก้าวหน้ากก็เกิดอุปกรณ์แปลงเสียง (Effect) เพื่อให้เกิดเสียง Delay และ Space Echo ซึ่งเป็นที่มาของดนรี Dub ที่นิยมใช้ Delay และ Echo มาก ๆ  พร้อมกับใส่เนื้อเพลงพูด ที่ด้นสด หรือ Improvise 
      ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสเน่ห์ที่ไม่เคยเสื่อมความนิยมไปจากประชาชนชาวโลกของดนตรีแนวนี้  ส่วนการด้นสดกับ Dub Side นั้นจริง ๆ แล้วคือการเเร๊พนั่นเอง  แต่เป็นการแร๊พในแนวทางของชาวจาไมกัน ที่เรียกกันว่า "Raggamuffin" (เรกก้ามัฟฟิน)  และเป็นที่มาของดนตรี "Dance Hall " ในช่วงปี ค.ศ. 1970 พร้อม ๆ กับกำเนิดการ Rap ในดนตรีฮิพฮอพแถบ Bronx ใน New York
       สำหรับเรา คิดว่า เพลง สกา ในจาไมกายุคแรก ๆ น่าฟังที่สุด  เพราะยังไม่มีเรื่องของอิเล็กทรอนิกส์ของกีตาร์หรือออร์แกนเข้ามา  มีแค่ กลอง Double Bass เครื่องเป่า และกีตาร์โปร่ง  แถมเมโลดี้ที่อิงไปทางของ Jazz ด้วย  ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร  ลองฟังเพลงของ Skataletes ดูคับ  ในความคิดของเรา The Skatalites เป็นวงสกาที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะทุกคนทุกตำแหน่งมีแนวทางที่โดดเด่นไม่แ้พ้กัน The Skatalites  นับเป็นวง Ska ต้นแบบของ Ska ทั่วโลก


      น้ากอล์ฟ T-Bone เคยเล่าให้ฟังว่า เคยมีโอกาสดู The Skatalites เล่นสด ๆ สมัยเรียนอยู่อเมริกา  และวงนี้คือวง Ska ที่ น้ากอล์ฟ แกอยากแจมด้วยมากที่สุด 
      เนื้อหาเพลง Ska ในยุคแรก ๆ  ยังไม่ค่อยพูดถึงลัทธิ Rastafarian มากนัก  แต่ก็มีเรื่องการเมือง,สิทธิมนุษย์ชน  , ธรรมชาติ , ความรัก เป็นเนื้อหาหลัก  แต่หลังจากลัทธิ Rastafarian เริ่มเฟื่องฟู กลุ่มคนดำในสลัม จาไมกา  เริ่มปวารณาตัวเข้านับถือ ลัทธินี้มากขึ้น Ska จึงเริ่มพัฒนาเนื้อหาและแนวดนตรีมาเป็น Rocksteady 
    จริงอยู่ที่ดนตรีของ Ska ลดความกระแทกกระทั้นลงกลายเป็น Rocksteady ทว่าเนื้อหาของเพลงกลับร้อนแรงขึ้นตามอุณหภูมิของการเมือง  ซึ่งก็มีผลจากเหตุการณ์การใช้กำลังปราบปรามจลาจลระหว่างผิวในปี ค.ศ. 1965 โดยเหตุผลครั้งนั้นได้ปลุกจิตสำนึกของคนดำรุ่นใหม่ ให้ตื่นขึ้นจากความฝันแห่งโลกยุคเก่า  ด้วยเหตุนี้ Rocksteady จึงถือกำเนิดขึ้น  มีบทเพลงใหม่ ๆ ทยอยออกมาเร้าคนหนุ่มสาว ให้กล้าแสดงความรู้สึกต่อต้านสังคมอย่างไม่ขาดสาย

วันจันทร์, ตุลาคม 04, 2553

STEVIE RAY VAUGHAN เจ้่าพ่อแห่ง เท็กซัส กีตาร์บลูส์


  


  เมื่อพวกเราส่วนมากเล่น SOLO แบบ 12 บาร์ พวกเราอาจจะเล่นคอรัส และที่เหลือเป็นการเล่นซ้ำๆกัน แต่ Stevie Ray ไม่เป็นอย่างนั้น เขายิ่งเล่นก็ยิ่งดี “ BB KING
              STEVIE RAY VAUGHAN ได้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบัน จากการสานต่อในดนตรีแนวบลูส์  ซึ่งได้มาจากการผสมผสานบางส่วนจาก Albert King , Jimi Hendrix และศิลปินในแนวแจ๊ส , ร็อค ,บลูส์ และแนวอื่นๆ ที่ทำให้เขา มีความเป็นสากลอย่างแท้จริง
              ในปี 1982  Mick Jagger และ Keith Richard ได้พบกับ STEVIE RAY VAUGHAN และ วง Double Trouble ของเขาใน Dallas Club ซึ่งทำการแสดงครั้งแรกในเทศการ “ Montreux Jazz Festival “ โดยปราศจ่กการเซ็นสัญญาบันทึกแผ่นเสียงต่อมาหลังจากเทศการนั้นแล้ว VAUGHAN ก็ได้ปรากฏตัวในการแสดงระดับชาติใน Davis Bowie’s Dance ในปี 1983 และต่อมาได้ทำสัญญาบันทึกแผ่นเสียงให้กับ Epic Records โดยบุคคลมากประสบการอย่าง John Hammond ซึ่งเขามีบทบาทในการทำงานที่เป็นตำนานของดนตรีอเมริกันหลายคนด้วยกัน เช่น Caunt Basie, Charlie Christian, Bob Dylan, Aretha Franklin และ Bruce Springteen
               Double Trouble ได้เปิดตัวอัลบั้มแรกชื่อว่า “ Taxas Food “ ในปี 1983 และมีการเดินสายตลอด 18 เดือน และในปี 1984  Double Trouble ได้ออกอัลบั้ม “ Couldn’t Stand Weather “ ออกสู่ตลาดและเขาก็ได้กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ในแนวบลูส์อีกด้วย
               VAUGHAN ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทางเฮลิคอปเตอร์ ในวันที่ 27 สิงหาคม 1990

อุปกรณ์ที่ใช้ : Fender Stratocaster with a ’59 body and a ’61 neck ; Fender Vibroverb and 150-  watt Dumbles ; Tube Screamer
เพลงที่สร้างชื่อ : “ Pride and Joy “ ของ STEVIE RAY VAUGHAN และ วง Double Trouble ในอัลบั้ม “ Taxas Food “ ( Epic ในปี 1983 )
อัลบั้มที่ได้รับการยอมรับสูงสุด : STEVIE RAY VAUGHAN และ วง Double Trouble ในอัลบั้ม In Step


          ฤดูร้อนปี 1977 เรย์ วอห์น ก็ออกจากเดอะครอบบราส์ และเข้าไปร่วม
งานกับวง Triple Threat Revue ซึ่งประกอบไปด้วย ไมค์ เคนดริกค์  เล่นเพียโน ดับบลิว ซี คลาร์ก ร้องและเล่นเบส เฟรดดี้ ฟาโรส์ และ ลูแอน บาร์ตัน ร้อง  การทำงานของ ทริพเพิล ทรีท  เป็นไปอย่างราบรื่น ปราศจาก อัตตาส่วนตัวของทุกคน เพราะต่างก็ยอมรับในฝีมือของกันและกัน  ไมเคิล พอยท์ ผู้เชี่ยวชาญเพลงบลูส์แห่งออสติน กล่าวถึงวงนี้อย่างชื่นชมว่า ความจริงแล้วลูแอน เป็นนักกีตาร์ที่มีฝีมือมากคนหนึ่ง เธอเคยผ่านงานกับศิลปินระดับคลาสสิคมาแล้ว เช่น Jenis Joplin  ส่วนสตีวีเองนั้น ก้เพียงพอใจกับการเป็นนักร้องแบ็คอัพให้เธอเท่านั้น ไม่มีคำว่า สตาร์”  และเมื่ออยู่บนเวที วงนี้คือวงที่เหลือเชื่อ
                       
ต่อมาสตีวี่ฟอร์มวงใหม่ชื่อ Double Trouble (มาจากชื่อเพลงของ Otis Rush) โดยมีลูแอน ร่วมอยู่ด้วย ในปี 1978  พวกเขาเดินทางไปนิวยอร์ค คลิฟ แฮทเทอร์เลย์ หนึ่งในสมาชิกได้เขียนในบันทึกของเขาว่าชีวิตในแมนฮัตตันช่างแสนเข็ญนัก เราจากออสตินมาด้วยเงินพียง 100 เหรียญ  เพื่อหวังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่เราก็มีปัญหาจากพวกเรากันเอง เพราะขณะนั้น ลูแอน เธอไม่สามารถประคับประคองจิตใจของเธอได้เลย เธอดื่มและสูบกัญชาอย่างหนัก ในช่วงที่พวกเรารองานกัน สตีวี่เองก็ทำอะไรไม่ถูก ทางออกที่ดีที่สุดคือยุบวงและแยกย้ายกันไป
               
ปี 1981  สตีวี่ลดจำนวนสมาชิกของวงให้เหลือแค่สามคน คือทอมมี่ ชานอนเพื่อนเก่ามาเล่นเบส และได้คริส เลย์ตันมาเล่นกลอง และช่วงนี้เองที่สตีวี่เริ่มเรียกตัวเองว่า  “สตีวี่ เรย์”  และฉายแววความเก่งกาจในเชิงกีตาร์เพิ่มมากขึ้น และช่วงนี้นี่เองที่หลายคนเริ่มจับตา และเปรียบเทียบภาพจำลองของอัลเบิร์ท คิง และจิมมี่ เฮนดริกซ์ยังไงยังงั้น  ในส่วนที่เหมือนอัลเบิร์ท คิงคือสไตล์การเล่น ส่วนที่คล้ายคลึงเฮนดริกซ์คือ วิถีทาง”  ในการใช้ชีวิต มาถึงช่วงนี้ ทุกคลับ ทุกบาร์ ต่างอ้าแขนรับและต้องการโชว์ของสตีวี่ทุกค่ำคืน การกลับมาบ้านเก่าออสติน ทำให้สตีวี่มีโอกาสได้รู้จักกับมือปืนประจำสตูดิโอ Eric  Johnson  หนุ่มน้อยนัยน์ตาใสซื่อ แต่ชั้นเชิงกีตาร์แน่นปึ๊ก  ทั้งคู่ได้รับการขนานนามว่าเทพเจ้ากีตาร์คู่แห่งออสติน”  ชื่อเสียงของสตีวี่กระฉ่อนออกไปไกลแค่ไหนไม่มีใครค้นหาคำตอบ แต่มันต้องดังไปไกลถึงริมรูหูของ เจอร์รี่ เว็กเลอร์ โพรดิวเซอร์แนวริธึ่มแอนด์บลูส์ผู้ยิ่งใหญ่ เว็กเลอร์ต้องถ่อสังขารมาที่ออสติน เพื่อมาดูให้เห็นกับตาว่า ไอ้หมอนี่ ทำไมคนมันพูดถึงกันนักหนา เขาไม่ผิดหวัง วงดับเบิ้ล ทรอบเบิ้ล เข้าร่วมงานเทศกาลยิ่งใหญ่ประจำปีของสวิตเซอร์แลนด์  Montreux Jazz Festival แม้จะเป็นการไปเล่นไกลถึงต่างแดนต่อหน้าผู้ชมต่างวัฒนธรรม แต่ด้วยควาเป็นหนึ่งในเชิงกีตาร์ สตีวี่สามารถสยบสายตาชาวยุโรปลงได้ด้วยมนต์เสน่ห์อันเข้มข้นของบลูส์ 
             
หนึ่งในผู้ชมของงานนั้น เป็นศิลปินระดับบิ๊กเนม  “เดวิด โบวี่ จอมดัดจริต”  เขาทึ่งในลีลาการเดินทางของนิ้วบนเส้นลวดของสตีวี่เป็นอย่างยิ่ง หลังการแสดงจบลง เดวิด โบวี่ ตรงรี่เข้ามาหาสตีวี่ พร้อมเอื้อนเอ่ยวจีมธุรสแสนหวานให้สตีวี มาร่วมงานในอัลบั้มชุดใหม่ของเขา (สตีวี่บอกว่าไป๊ ไป๊ ไอ้กระเทยตุ๊ด แกเป็นอะไรกันแน่วะ เกย์  ตุ๊ด กระเทย  ฮ่า ฮ่า ฮ่า)    สตีวี่ตอบตกลง เพราะนี่คือโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายนัก
             
สตีวี่ มาสำแดงพลังกีตาร์ในอัลบั้มชุด Let’s  Dance ของเดวิด โบวี่  และมันกลายเป็นอัลบั้มที่กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งของเดวิด โบวี่  สตีวี่ไม่เพียงแต่สำแดงพลังกีตาร์ใสตูดิโอเท่านั้น แต่เขายังออกตระเวนทัวร์ทั่วโลกกับเดวิด โบวี่ ซึ่งเป๋นประสบการณ์การออกทัวร์ที่เขาได้มีโอกาสสัมผัส ไนล์ ร็อดเจอร์ โพรดิวเซอร์ผิวหมึกค่อนข้างพอใจกับฝีไม้ลายมือของสตีวี่ ที่เล่นกีตาร์มีสไตล์ของฟังกี้ แม้เขาจะติดอยู่หน่อยตรงที่ว่า มันเหมือนอัลบเบิร์ท คิง มากไปหน่อย การออกทัวร์ครั้งนั้น สตีวี่ ยังรับหน้าที่เป็นวงเปิดให้ด้วย  แต่ก็มีข่าวไม่ค่อยจะดีเล็ดลอดออกมาอยู่บ่อยๆว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขาโบวี่ ไม่ค่อยราบรื่นนัก เพราะปัญหาเรื่องเงินค่าตัวในทำนองว่า เดวิด โบวี่ เบี้ยวค่าตัวเขา และข่าวนี้ก็เป็นความจริง เมื่อสตีวี่ขอถอนตัวจากการทัวร์ และกลับไปยังออสติน เพื่อเล่นดนตรีกับดับเบิ้ล ทรอบเบิ้ล ต่อไป
             “
คนเท็กซัสน่ะ เป็นคนจริงโดยสันดานน่ะครับไมเคิล พอยท์  แห่งหนังสือออสติน อเมริกัน สเตรทเมนท์ กล่าว   “ผมได้ยินสตีวี่สบถว่า แม่ง....ไอ้โบวี่ เดี๋ยวกูจะยิงแม่งเลย....คือผมเข้าใจความรู้สึกของสตีวี่ เขาเติบโตขึ้นมาในเท็กซัส และภูมิใจกับดนตรีที่เขาเล่น และไม่มีทางหรอกที่เขาจะไปเล่นสนุบสนุนร็อคสตาร์จากอังกฤษ
           
ในเทศกาลดนตรีแจ๊ซซ์เมื่อปี 1982 ยังมีบุคคลหนึ่งที่ชื่นชมความห้าวหาญของสตีวี่ เขาคือศิลปินตำนานศักดิ์สิทธิ์ย่านเวสท์ โคสท์ ผู้ยิ่งยง แจ๊คสัน บราวน์ บราวน์เชื้อเชิญสตีวี่และวงของเขา มาอัดเดโมเทปที่สตูดิโอใหม่ของเขาย่านดาวน์ทาวน์ และมีหรือที่สตีวี่จะปฏิเสธคำเชื้อเชิญที่เต็มไปด้วยความเอื้ออาทร  มันเหมือนกับว่า บรานว์คือแรวหนุนส่งเขาอีกทอดหนึ่ง จนในที่สุดเขานำเดโมเทปไปให้จอห์น แฮมม่อนด์ ซีเนียร์ ฟัง หมอนี่ไม่ธรรมดา เพราะเขาคือโพรดิวเซอร์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ ชาร์ลี คริสเตียน,บ๊อบ ดิแล่น,อเรธา แฟรงคลินและบรู๊ซ สปริงส์ทีน แฮมม่อนด์พอใจงานของดับเบิ้ล ทรอบเบิ้ลมาก และใช้ความเก๋าที่มีอยู่ในวงการ ผลักดันงานให้เขาได้เซ็นสัญญากับอีพิค เร็คคอร์ด แฮมม่อนด์กล่าวถึงสตีวี่ว่านับจากยุคของที-โบน วอล์คเกอร์ ในปี 1936 แล้ว ผมก็เห็นจะมีแต่สตีวี่นี่แหละที่มีความสามารถระดับนั้น เป็นแบบฉบับที่ดีของชาวเท็กซัสรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ เขาเหมือนกับที-โบน ทุกกระเบียด ไม่ว่าจะเป็นฝีมือและเมื่ออยู่บนเวที
       
ปี 1983  ความฝันของสตีวี่เป็นจริง เมื่ออัลบั้มชุดแรกออกวางจำหน่าย ในสังกัดอีพิค เร็คคอร์ด โดยความช่วยเหลือของแฮมม่อนด์ ชื่ออัลบั้ม Texzas Flood แต่กว่าจะคลอดออกมาได้ มีเรื่องราวชวนปวดเศียรเวียนเฮดกันขนานหนัก เพราะเพลงในแบบของเขาต้องผ่านการกลั่นกรองอย่างหนักจากผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับสตีวีเองก็ยังไม่มีประสบการณ์ที่เจนจัดด้านสตูดิโอ ถึงกระนั้นก็ตาม ดนตรีที่พวยพุ่งออกมาก็ทรงพลังพอที่จะทำให้ทึกคนยิ้มได้ เป็นพลังบลูส์ที่เปรียบประดุจจุดระเบิดที่รอวันจุดชนวน ฝีมือกีตาร์อันเยี่ยมยอดจากเพลง Pride And Joy และ Crying บางบอกถึงความเป็นสไตบ์เท็กซัส บลูส์อย่างแท้จริง และตอนหลังอัลบั้มชุดนี้ กลายเป็นสัญลักษณ์ของเท็กซัสบลูส์ไปอย่างแท้จริง ลูกโซโลทุกเม็ด มีสำเนียงและน้ำหนักชัดเจน  ดุดัน กระชากใจ เมื่อใดก็ตามที่มันกระทบโสตประสาทผู้ฟัง ต้องเกิดอารมณ์คล้อยตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
           
ในส่วนของภาพพจน์ สตีวี่เองก็ค้นหาจนพบ เขาชอบสวมหมวกปีกกว้าง มีขนนกของอินเดียนแดงเสียบอยู่บนเสื้อโค้ทหนาเตอะ รองเท้าบู๊ท สลักลวดลายนกอินทรี บวกเข้ากับฝีมือที่เอกอุ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสตีวี่
             
อัลบั้มชุดนี้บรรจุเพลงเด็ดๆไว้เพียบ เช่นเพลง Come One ที่ว่ากันว่า สำเนียงกีตาร์เฉียดฉิวจิมมี่ เฮนดริกซ์ไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแฝด  ถ้าเอาอัลบั้มของจิมมี่ชุด Electric Ladyland มาฟังเปรีบยเทียบจะเห็นชัดเจน เทคนิค ลูกเล่น แพรวพราว เพลง Lookin Out The Window และ Look At Little Sister และเพลง Ain’t Gone n Give Up On Love อุทิศแด่อัลเบิร์ท คิง ในลีลาบลูส์ที่โหยเศร้า เพลง Life Without You เป็นแนวกอสเพลแท้ๆ บ่งบอกความเป็นชาวชนบทที่อยู่กับสาปดินกลิ่นหญ้า ม้า วัว ควาย
     
อัลบั้มชุดนี้ประสพความสำเร็จงดงามเหลือเชื่อ เพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ดนตรีบลูส์ที่แผ่วโผยลงไปทุกวัจะกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยศักดิ์ศรีของสตีวี่เป็นผู้นำพา  ถึงตอนนี้เริ่มมีคนพูดถึงเขาในแง่ที่ว่า นี่คือภาคใหม่ของจิมมี่ เฮนดริกซ์  และนับตั้งแต่การจากไปของจิมมี่ เห็นจะมีแต่สตีวี่นี่แหละที่เข้าถึงเพลงบลูส์ได้อย่างถึงแก่นแท้ และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ  พลัง และการชักชวนให้หวนรำลึกถึงรากเหง้าความรุ่งเรืองแห่งบลูส์ในอดีต
       
แวน วิลสัน มือกีตาร์ในเมืองออสตินกล่าวถึงเพื่อนเก่าของเขาว่า  “มีบางสิ่งบางอย่างที่สตีวี่มีส่วนคล้ายคลึงจิมมี่  เมื่อเวลาที่ทั้งสองคนเล่นดนตรี  มันเหมือนกับว่า เขาจะมไสนใจสิ่งใดๆเลย สมาธิจะอยู่บนเฟรทกีตาร์ แล้วถ่ายทอดอารมณ์ลงบนปลายนิ้วอย่างต่อเนื่อง เมื่อพรรคพวกในกลุ่มเรามีโอกาสสนทนากัน เมื่อใดก็ตามที่เราพูดถึงเฮนดริกซ์ ก็ไม่พ้นที่จะพูดถึงสตีวี่ เรามีรูปของเฮนดริกซ์ และจ้องมองรูปนั้นอย่างพิจารณา เรามีความเห็นพ้องต้องกันว่า แววตาของเฮนดริกซ์ มันคล้ายแววตาของสตีวี่มากจริงๆ มันส่อความเด็ดขาด แต่ไม่ได้ส่อว่าจะโหดเหี้ยมหรอกนะ
         
แม้ว่าภาพเปลือกนอกของสตีวี่ จะดูเหมือนว่าเขามีความสุขกับความสำเร็จของผลงาน แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เขายังหวั่นวิตกถึงเสียงที่เล่นออกมา เขากลัวว่า งานชุดใหม่จะออกมาไม่ได้มาตรฐานเหมือนชุดแรก เขาบอกว่า
         “
เมื่อผมฟังงานของตัวเอง เสียงที่ออกมามันดีเยี่ยม โน้ตที่เล่นออกมามันยิ่งใหญ่ แต่ก็หาใช่ตัวตนที่แท้จริงของผม มันเหมือนผมถูกจำกัดให้เล่นอยู่ในวงที่ขีดเอาไว้ ผมคิดว่า ผมตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เลือกอาชีพนี้  แต่ก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่สามารถควบคุมมันได้ บางอย่างผมยังค้นหาไม่เจอ เวลาผมอยู่คนเดียวเงียบๆคือเวลาที่ผมสบายใจที่สุด  ผมสามารถมีอัตตาส่วนตัวได้ โดยไม่ต้องไปวิตกว่า ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ และบางสิ่งบางอย่างจะไม่มีอยู่ในหัวสมองของผม มีปัญหามากมายที่คนเรายังไม่สามารถค้นหาคำตอบให้ได้อย่างถ่องแท้ ผมก็แค่ชายวัย 33 และมีลูกชายวัย 6 ขวบอยอยู่เคียงข้างเท่านี้ผมก็คิดว่า มีความสุขมากแล้ว
         
การได้ทำอัลบั้มการแสดงสด Live Alive นั้น ทำให้สตีวี่ ค้นหาตัวเองได้มากขึ้น เขาไม่จำเป็นต้องขลุกอยู่กับตัวเองวันแล้ว วันเล่า และเสพโคเคนเป็นว่าเล่นทั้งวัน เขาหยุดทุกอย่างด้วยมือของเขาเอง
         
เดือนตุลาคม ปี 1986 สตีวี่ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตที่ลอนดอน เขาคร่ำครวญถึงแม่ของเขา ที่อยู่ในดัลลัส  “ช่วยผมด้วย ตอนนี้ผมอยู่ในยุโรป ผมกำลังแย่ครับแม่
       
สตีวี่ รีบกลับอเมริกาด้วยความคิดถึงแม่ และมุ่งหน้าไปที่มาร์เร็ทต้า จอร์เจีย หลังจากอัลบั้มแสดงสดออกวางจำหน่ายไปเพียงเล็กน้อย สตีวี่กลับบ้านที่ดัลลัส  เพื่อรักษาโรคแอลกฮอลิซึ่มและย้ายเข้าไปในสถานบำบัดยาเสพติดที่ออสติน
           
ที่นี่ เขาต้องเข้ารับการบำบัดถึง 12 โปรแกรม ต้องรักษาตารางการดื่มอย่างเคร่งครัด แต่ก็ได้ผลเป็นที่น่ายินดี
       
ปี 1988  เขากลับคืนสู่ดนตรีอีกครั้ง คราวงนี้ร่างกายเขาสดชื่นและฟอร์มสดกลับมาอีกครั้ง อัลบั้มชุ In Step สามารถคว้าแผ่นทองคำขาวมาครอง และได้รางวัลแกรมมี่สาขาเพลงบลูส์
       
ก่อนหน้าที่จะทำอัลบั้ม Family Style เขาคว้ารางวัล Austin Music Awards ใครๆต่างก็ชื่นชมรางวัลนี้ว่า เป็นการตอบแทนคุณค่าคุณงามความดีในฐานะนักกีตาร์ที่อุทิศให้กับดนตรีบลูส์ และรางวัลนี้ก็ไม่ใช่รางวัลโหลๆ เหมือนเมฆขลา เพราะคนที่จะได้รางวัลนี้ต้องมีคุณสมบัติที่พิเศษสุดเหนือคนอื่นๆ
   
ผลงานของสตีวี่คืออัลบั้ม Texas Flood และ In Step รวมทั้งซิงเกิ้ลยอดเยี่ยม Crossfire “ผมขอขอบคุรพระเจ้าที่ประทานพรแก่ผม และผมขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ชีวิตผมอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะความกรุณาของทุกๆคน” (เหมือนเว็บบ์ไซด์ร็อคเกอร์ กูรู จะอยู่ได้ด้วยคนอ่าน อิ อิ) 
       
นั่นคือประโยคแห่งความกตัญญูของสตีวี่ ที่มีต่อผู้คนและผืนแผ่นดินที่ให้กำเนิดเขามา และมีศิลปินไม่กี่คนที่จะนึกถึงกำพืดของตัวเอง เมื่อไปสู่จุดสูงสุด แต่ที่สุดก็ร่วงผล็อย!!

บทความที่ได้รับความนิยม

รายการบล็อกของฉัน