รสนิยมการฟังเพลงของชาวจามไมกันนั้น ได้รับอิทธิพลจากสถานีวิทยุอเมริกันที่ลอยข้ามทะเลมา
ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความถี่จากสถานีวิทยุฟลอริดา หรือหลุยส์เซียนา หรือสถานีนิวออร์ลีนส์
และสำหรับชาวจาไมกันนั้น ขอเพียงแค่เป็นเพลงร็อคแอนโรล์ที่มีกลิ่นอายของริธึมแอนบลูส์ฺก็เป็นอันใช้ได้
เพลงประเถทนี้ภายหลังเรียกว่าจังหวะโซล ซึ่งมีรากฐานมาจากดนตรีของชาวอัฟริกันผิวดำในอเมริกา ต่อมาไม่นาน ดนตรีของชาวจาไมกันก็คลี่คลายออกไป พวกเขาแต่งเพลงโดยการผสมผสานแนวเพลง ร็อคแอนโรล์ เข้ากับเพลงพื้นเมืองที่เรียกว่า
"Mento" (เมนโต) ของอัฟริกันจาไมกัน หรืออาจผสมคาลิบโซที่นิยมกันในอเมริกาใต้ ผลของการผสมผสานเช่นนี้ชาวจากไมกันเรียกว่า
"สกา" แต่จังหวะค่อนข้างเร็ว สกาจึงเหมาะเป็นเพลงเต้นรำของคนผิวดำ
ช่วงปลายทศวรรษ 1960 จังหวะของเพลงสกาเริ่มมีการประยุกต์เล่นให้ช้าลงกว่าเดิม และได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น
"Rocksteady" (ร็อคสเตดี้) และหลังการมาถึงของร็อคสเตดี้ ก็คือการกำเนิดขึ้นของ
"Reggae" (เรกเก้) เพลงร็อคในสไตล์จาไมกัน ที่หลายคนมองว่าเป็นการนำร็อคแอนโรลด์มาปรับให้มีลูกเล่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยการผสมผสานเข้ากับทำนองของท้องถิ่นจาไมกัน คล้าย ๆ สกา และร็อคสเตดี้ แต่ เรกเก้ มีจังหวะในการเล่นที่เนิบช้ากว่า
บทเพลงเรกเก้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในสถานเต้นรำ กระทั่งปี ค.ศ. 1968 บทเพลง
Do The Reggae บทเพลงเรกเก้เพลงเเรก ก็ถือกำเนิดขึ้นในท้องตลาด เป็นผลงานของ
Toots Hibbert แห่งวง
The Maytals
กีตาร์ เบส กลอง คือเครื่องดนตรีที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของดนตรีเรกเก้ โดยเฉพาะกลองสไตล์อัฟริกันอันเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองของจาไมกา
ความพิเศษอย่างหนึ่งของเรกเก้คือ "จังหวะเคาะ" ที่ชวนให้รู้สึกราวกับต้องมนต์ นั่นคือจังหวะ 1 และ 3 ซึ่งเรียกกันว่า
จังหวะสะกิตจิต ต่างกับร็อคที่เคาะจังหวะ 2 และ 4 แต่การเคาะที่ 1 และ 3 ไม่ใช่ของใหม่ เพราะมาจากาการตีกลองแบบอัฟริกัน ซึ่งในจาไมการเรียกดนตรีที่เลียนเเบบสไตล์พืนเมืองว่า
Root Music
ดนตรีเรกเก้พัฒนามาอย่างไม่หยุดยั้งตามรสนิยมของนักเต้นรำ ความพึงพอใจในเสียงเบสและลีลาของ เรกเก้ ส่งผลให้เพลง เรกเก้ ต่างจากเพลงสไตล์อื่น ๆ การมิกซ์เสียงเบสใส่ลงในร่องเสียง กลายเป็นที่มาของการผลิดแผ่น ซิงเกิ้ล ที่เรียกว่า
Dub Side หรือดนตรี
Dub อันเกิดจากดนตรี
Rocksteady และ Reggae เพราะมีการคิดค้น การซ้อนเสียงเบสเข้าไปสองครั้ง (Double) ทำให้เ้กิดเสียงที่แน่นขึ้น แล้วจากนั้นก็ลองซ้อนแบบเหลื่อม ๆ ทำให้เกิดเสียง
Delay จนวันที่เทคโนโลยีก้าวหน้ากก็เกิดอุปกรณ์แปลงเสียง
(Effect) เพื่อให้เกิดเสียง
Delay และ
Space Echo ซึ่งเป็นที่มาของดนรี
Dub ที่นิยมใช้
Delay และ
Echo มาก ๆ พร้อมกับใส่เนื้อเพลงพูด ที่ด้นสด หรือ
Improvise
ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสเน่ห์ที่ไม่เคยเสื่อมความนิยมไปจากประชาชนชาวโลกของดนตรีแนวนี้ ส่วนการด้นสดกับ Dub Side นั้นจริง ๆ แล้วคือการเเร๊พนั่นเอง แต่เป็นการแร๊พในแนวทางของชาวจาไมกัน ที่เรียกกันว่า
"Raggamuffin" (เรกก้ามัฟฟิน) และเป็นที่มาของดนตรี
"Dance Hall " ในช่วงปี ค.ศ. 1970 พร้อม ๆ กับกำเนิดการ
Rap ในดนตรีฮิพฮอพแถบ
Bronx ใน
New York
สำหรับเรา คิดว่า เพลง สกา ในจาไมกายุคแรก ๆ น่าฟังที่สุด เพราะยังไม่มีเรื่องของอิเล็กทรอนิกส์ของกีตาร์หรือออร์แกนเข้ามา มีแค่
กลอง Double Bass เครื่องเป่า และกีตาร์โปร่ง แถมเมโลดี้ที่อิงไปทางของ
Jazz ด้วย ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ลองฟังเพลงของ Skataletes ดูคับ ในความคิดของเรา
The Skatalites เป็นวงสกาที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะทุกคนทุกตำแหน่งมีแนวทางที่โดดเด่นไม่แ้พ้กัน
The Skatalites นับเป็นวง
Ska ต้นแบบของ
Ska ทั่วโลก
น้ากอล์ฟ
T-Bone เคยเล่าให้ฟังว่า เคยมีโอกาสดู
The Skatalites เล่นสด ๆ สมัยเรียนอยู่อเมริกา และวงนี้คือวง Ska ที่ น้ากอล์ฟ แกอยากแจมด้วยมากที่สุด
เนื้อหาเพลง Ska ในยุคแรก ๆ ยังไม่ค่อยพูดถึงลัทธิ
Rastafarian มากนัก แต่ก็มีเรื่องการเมือง,สิทธิมนุษย์ชน , ธรรมชาติ , ความรัก เป็นเนื้อหาหลัก แต่หลังจากลัทธิ
Rastafarian เริ่มเฟื่องฟู กลุ่มคนดำในสลัม จาไมกา เริ่มปวารณาตัวเข้านับถือ ลัทธินี้มากขึ้น
Ska จึงเริ่มพัฒนาเนื้อหาและแนวดนตรีมาเป็น
Rocksteady
จริงอยู่ที่ดนตรีของ
Ska ลดความกระแทกกระทั้นลงกลายเป็น
Rocksteady ทว่าเนื้อหาของเพลงกลับร้อนแรงขึ้นตามอุณหภูมิของการเมือง ซึ่งก็มีผลจากเหตุการณ์การใช้กำลังปราบปรามจลาจลระหว่างผิวในปี ค.ศ. 1965 โดยเหตุผลครั้งนั้นได้ปลุกจิตสำนึกของคนดำรุ่นใหม่ ให้ตื่นขึ้นจากความฝันแห่งโลกยุคเก่า ด้วยเหตุนี้
Rocksteady จึงถือกำเนิดขึ้น มีบทเพลงใหม่ ๆ ทยอยออกมาเร้าคนหนุ่มสาว ให้กล้าแสดงความรู้สึกต่อต้านสังคมอย่างไม่ขาดสาย