งานดนตรี ของ แฟรงค์ แซปป้า ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของวงการดนตรี ในอีกรูปแบบหนึ่งของโลก ตลอดชีวิตของเขา ผจญกับเรื่องราวมากมายทั้งในประสบการณ์ชีวิต และดนตรี เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นอัจฉริยะทางดนตรีที่ไม่มีใครเหมือน ในงานประพันธ์ดนตรีของเขา เป็นงานที่ นำดนตรีหลาย ๆ ประเภท เช่น ดนตรี คลา สสิค แจ๊ส ร็อค และดนตรีอื่น ๆ เป็นต้น มาผสมผสาน หล่อหลอมจนเป็นรูปแบบดนตรีของเอง ซึ่งมีแนวคิด และเทคนิคในการประพันธ์ ที่แตกต่างจากนักประพันธ์คนอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง แต่ดนตรีของเขากลับไม่ได้รับการยอมรับ มีเพียงคนบางกลุ่ม หรือนักดนตรีที่สนใจใน
แนวคิดทางการประพันธ์เพลงของเขา งานดนตรีของเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกต่อต้านจากสังคม ร่วมทั้งสื่อมวลชนเกือบทุกแขนง แซปป้า ได้ชื่อว่า เป็น กบฏทางดนตรี และสังคม เนื่องจากเนื้อหาทางความคิดในคำร้องทางดนตรี มีความล่อแหลมทางศีลธรรมอย่างมาก และวิธีการประพันธ์ทำนองดนตรีที่อยู่นอกระบบ นอกจากนี้ในบทเพลงของ แซปป้า ยังเป็นเครื่องมือทางสังคมที่เป็นแรงจูงใจ ให้เกิดการปฏิวัติขึ้นในประเทศในแถบยุโรปตะวันออกอีกด้วย แฟรงค์ แซปป้า ( Francis Vincernt Zappa) เกิดวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1940 รัฐ Baltimore Maryland U.S.A มีเชื้อสายของชาวเกาะซิซิลี ( Sicilian Greek) พ่อเขาเป็นนักพยากรณ์อากาศ ที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้าน และชอบเล่นดนตรี( "strolling cooner" Guitar ) ชีวิตในวัยเด็กเขาเป็นเด็กที่ซน ต่อมาพ่อเขาได้เปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักวิเคราะห์เรื่องแก๊ซที่ใช้ในราชการ สงครามของทัพ แล้ววันหนึ่งพ่อของเขาก็ต้องเสียชีวิตจากเขาไป เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุแก๊ซพิษรั่วขึ้นในบ้านของเขาเอง แซปป้าเองก็ต้องทนนอนอยู่ในบ้านพร้อมกับหน้ากากกันแก๊ซ อยู่เป็นเดือน ๆ หลังจากนั้น ชีวิตของเขาได้เริ่มเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น และเริ่มหันสนใจดนตรี เมื่อ อายุได้ 12 ปี แนวดนตรีแรกที่เขาชอบ คือ ริ ธึ่ม แอนด์ บลูส์ (Rhythm & Blues) หรือนิยมเรียกว่า R & B และ rock and roll กลอง และกีตาร์เป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก ๆ ที่เขาหัดเล่น จึงไปเรียนดนตรี Orchestral perussion ช่วง Summer ที่ Monterery และชอบขอร่วมเล่นดนตรี ( Jam ) กับวงดนตรีในคลับเสมอ ๆ เมื่อ แซปป้า อายุได้ 14 ปี ก็สามารถแต่งเพลงเองได้แล้ว ในปี ค.ศ. 1956 ( อายุ 16 ปี) ด้วยความสามารถในการเล่นกลองของเขา วง แรมเบลอร์ (Ramblers) จึงได้เชิญเข้าเข้าร่วมเล่นในวงดนตรีที่เล่นประจำในแถบ เมืองซานฟรานซิสโก เป็นเพลงแนว R&B แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเนื่องจากแนวความคิดอันก้าวหน้า และแปลกประหลาด ของ แซปป้า ซึ่งเขามักจะเสนอความคิด และไอเดียใหม่ ๆ เข้ามาสู่วง แต่ความคิดต่าง ๆ ไม่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนในวง ในที่สุดเขาก็ต้องออกจากวง ในช่วงนั้นเขาหลงใหลกับการศึกษากีตาร์ไฟฟ้า (Eletric Guitar) อย่างจริงจัง โดยศึกษาจากนักกีตาร์ที่มีชื่อเสียง ในดนตรีแนว R&B และ ดนตรีแนว Blues ที่เขาชอบ เช่น Howlin Wolf กับ Hubert Sumlin , Muddy Water , Johnny 'Guitar' Watson และ Clarence ' Gatemouth' Brown เป็นต้น หลังจากในปี ค.ศ. 1964 นั้นได้รวบรวมสมาชิกใหม่ จากเพื่อนในโรงเรียนเดียวกัน ก่อตั้งขึ้นมาโดยมี Roy collin เป็นนักร้อง (vocals), Roy Estrada เล่นเบส (Bass), Jimmy Carl Black เล่นกลอง (Drums) Zappa เล่นกีตาร์ (Guitar) โดย ใช้ชื่อวงว่า The soul Giants และยังคงการเล่นในแนว R&Bอยู่ ซึ่งต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Mothers of invention Sonic แนวดนตรีของวงเริ่มมีทิศทางเปลี่ยน เป็น ดนตรีแนวร็อคหัวก้าวหน้า ที่มีรูปแแบบดนตรีที่ผสมผสานดนตรีประเภทต่าง ๆ เข้าใว้ด้วยกัน ในปี ค.ศ. 1966 วงของ แซปป้า และ เพื่อน ๆ ( Mothers of Invention ) ก็ได้ออกอัลบั้มแรกซึ่งเป็น อัลบั้มคู่ที่มีชื่อว่า Freak out โดยมี Cecil Taylor, Jonh Coltrane และBob- Dylan มาร่วมกันเป็น producer ให้ แซปป้า เป็นอัลบั้มคู่ แต่เพลงของเขาไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ฟัง และ ทางสถานีวิทยุต่าง ๆ เนื่องจากการเรียบเรียงดนตรีที่ซับซ้อน ฟังและเข้าใจยาก แต่เพลงของเขากลับเป็นที่นิยมในกลุ่มนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เพราะเนื้อหาของคำร้องในดนตรีของแซปป้า ได้สะท้อนถึงสภาพสังคมในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี จนได้ชื่อว่าเป็นอีโร่คนหนึ่ง ของหนุ่มสาวชาวอเมริกาในยุคนั้น และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้แต่งงานกับ Gail Sloatman ในปี ค.ศ. 1969 บทเพลงของเขาได้แสดงถึงความเป็นอิสระทางความคิด และยังเป็นกำลังใจให้กับหนุ่มสาวในยุโรปตะวันออกกลาง ที่มีหัวก้าวหน้าทางการเมืองในระบบประชาธิปไตย เช่น ในประเทศเช็คโกส-โลวาเกีย บทเพลงของแซปป้าได้รับความนิยมมาก ในช่วงก่อนที่ระบบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ จะล่มสลายลงในประเทสเช็คโกสโลวาเกีย แต่เพลงของแซปป้าจะต้องเปิดฟังเฉพาะในใต้ดินเท่านั้น แว็คคลาฟ ฮาเวล ( Vaclav Havel ) อดีตนักเขียนบทละคร ซึ่งต่อมาเขาได้กลายมาเป็นประธานาธิบดีของ ประเทศเช็คโกสโลวาเกีย ได้กล่าวถึงบทเพลงของ แฟรงค์ แซปป้า ว่าเป็นคัมภีร์แห่งการปฎิวัติของชาวเช็คโกเลยก็ว่าได้ หนุ่มสาวชาวเช็คโกที่เรียกตัวเองว่า Plastic People ตามชื่อเพลงในอัลบั้มในช่วงแรก ๆ ของวง Mothers of Invention ซึ่งเป็นกลุ่มประชาชนกลุ่มใหญ่ ที่ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งดี ๆ ให้กับประเทศ โดยยึดเอาเพลงของ แซปป้า เป็นแนวคิด และเป็นทางออกให้แก่พวกเขา ประธานาธิบดี ฮาเวล ยังได้กล่าวอีกว่า ประเทศของเขารู้สึกประทับใจ และขอบคุณต่อ แฟรงค์ แซปป้า อยู่มากทีเดียว จึงแต่งตั้งให้ แฟรงค์ แซปป้า เป็นฑูตพิเศษทางวัฒนธรรม ที่มีสิทธิพิเศษในการเดินทางเขาประเทศได้ทุกเวลาอีกด้วย แต่ในประเทศอเมริกากลับต่างกัน บทเพลงที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศในยุโรป-ตะวันออก กลับถูกต่อต้านอย่างหนัก ทางสื่อมวลชน บทเพลงหลายเพลงของ แซปป้าอยู่ในขั้นที่เรียกว่าเรท X ซึ่งเตือนไว้ที่หน้าปกอัลบั้มว่าวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 17 ปี ไม่ควรฟังโดยเด็ดขาด และ ยังเป็นที่จับตามองของ ทำเนียบขาว เนื่องจาก เนื้อหาของคำร้องที่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรม สังคม และความมั่นคงบางประการของรัฐ แต่ แซปป้า ก็ยังคงทำเพลงของเขาต่อไปเรื่อย ๆ ความคิด และจินตนาการของเขาดูจะไม่มีขีดจำกัด ทั้งวิธีในการประพันธ์เพลงในรูปแบบต่าง ๆ ของเขาที่ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ และการไม่ยึดเอาหลักเกณฑ์ทางทฤษฎีสากล (Western Music) มาเป็นกรอบในงานดนตรีของเขา ในผลงานดนตรีของ แซปป้า ตลอดชีวิตของเขา (1942 - 1992) มีผลงานเพลงประมาณเกือบ 100 ชุด ทั้งในการออกกับวงของเขา และงานเดี่ยว แต่งานของเขาไม่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ฟังส่วนใหญ่ (ไม่ขึ้นอันดับเพลงยอดนิยม BillBord) คนที่สามารถยอมรับในงานดนตรีของเขาได้มีเพียงกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น เขาจึงเริ่มโดนบีบจากทางต้นสังกัด แซปป้า จึงออกอัลบั้มที่เป็นเพลงแนวป๊อป (pop) ออกมา ใช้ชื่ออัลบั้มว่า Apostrophe และชุดนี้ก็ทำให้ขึ้นอันดับยอดนิยม ในอันดับ Top Ten ของ Billbord ได้อย่างสบาย จุดนี้แสดงให้เห็น ถึงแนวความคิดของ แซปป้า ได้อย่างชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการสร้างดนตรีในระบบความคิด แบบธุรกิจ ดนตรี แต่เขาต้องการเสนอความคิด และจินตนาการในรูปแบบของดนตรี ที่มีทิศทางของตัวเอง ในปี 1987 งานของ แฟรงค์ แซปป้า ได้ถูกการกล่าวถึงในวงการดนตรี เป็นอย่างมาก เนื่องจากอัลบั้มชุด Jazz From Hell ของเขาที่ได้แสดงถึง การประพันธ์เพลงบรรเลงกีตาร์ ในแนวร็อคที่แปลกใหม่ในวงการดนตรี ร่วมทั้งเทคนิคในการเล่นกีตาร์ไฟฟ้าในรูปแบบใหม่ จึงทำให้อัลบั้มชุด Jazz Form Hell สามารถคว้ารางวัลแกรมมี่ในสาขา Best Rock Instrumental Performance of the Year มาครองได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะโดยปกติแล้วเพลงผู้ที่ได้รางวัลแกรมมี่ได้นั้น ตัวศิลปินควรจะต้องมีภาพพจน์ที่ดี ซึ่งตรงกันข้ามกับตัวของ แซปป้า จึงอาจเป็นเครื่องยืนยันได้ว่างานดนตรีของเขา จะต้องมีคุณค่าทางการศึกษาในด้านดนตรี ระยะหลังปี 1987 งานดนตรีของ แซปป้า ยิ่งห่างไกลจากคำว่าตลาด ในงานเพลงของเขาเริ่มขยายขอบเขตของเสียง และการประพันธ์ออกไปมากว่าดนตรีในแนวร็อคที่เคยมีมา โดยใด้นำเอาวงออร์เครสตร้าที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น วง London Symphony Orcrestra มาร่วมบรรเลงในงานดนตรีของเขา Rubuin Mehta ผู้อำนวยเพลงของวง ถึงกับกล่าวออกมาเมื่อเห็นสกอร์เพลงของ แซปป้า ที่เขียนให้กับวง London Symphony Orcrestra ว่า " แฟรงค์ แซปป้า คือหนึ่งในนักดนตรีร็อคที่รู้ภาษา(ดนตรี) เดียวกับผม" แฟรงค์ แซปป้า รู้สึกตัวว่าเขาป่วยมานานแล้ว ด้วยโรคที่ยังไม่มีใครรักษาได้ นั้นคือ มะเร็งที่ต่อมลูกหมาก ที่เป็นมาประมาณ 10 ปี แต่เขาไม่เคยโทษโชคชะตาใด ๆ เขายังรักในเสียงดนตรีจวบจนวาระสุดท้ายของเขา แซปป้า ได้จากไปอย่างสงบใน ช่วงเย็นวันเสาร์ ในปี- ค.ศ. 1992 เขามีอายุทั้งสิ้น 52 ปี ตลอดชีวิตของเขาผจญเรื่องราวมากมายที่ใครจะเจอเหมือน แฟรงค์ แซปป้า อัจริยะทางดนตรีที่ไม่มีใครเหมือน เขาเป็นทั้งนักแต่งเพลง และนักกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่ เขาเป็นผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์วงการดนตรีที่มีดนตรีอยู่ทุก ๆอณูในจิต และวิญญาณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น